1 00:00:12,080 --> 00:00:14,360 โครงสร้างขนาดมหึมาในแอมะซอนพวกนี้ 2 00:00:14,440 --> 00:00:16,000 (ภูมิภาคอาเกร บราซิล) 3 00:00:16,080 --> 00:00:18,320 บ่งบอกถึงความอุตสาหะอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ 4 00:00:21,560 --> 00:00:24,160 แต่มีพวกมันอยู่ที่นั่นเท่าไรกันล่ะ 5 00:00:27,400 --> 00:00:28,480 เล่าสิ่งที่คุณพบให้ฟังทีครับ 6 00:00:29,440 --> 00:00:31,480 - คุณเห็นต้นไม้พวกนี้ไหมครับ - ครับ 7 00:00:31,560 --> 00:00:34,600 - ทีนี้ก็ภูมิประเทศ - เราลบต้นไม้ออก 8 00:00:34,680 --> 00:00:35,800 ว้าว 9 00:00:35,880 --> 00:00:38,000 - ว้าว - เหลือเชื่อเลย 10 00:00:42,320 --> 00:00:46,360 ศาสตราจารย์พาร์ซิเนนและทีมงาน พบจีโอกลิฟเรขาคณิตใหม่เก้ารอย 11 00:00:46,440 --> 00:00:48,720 ที่ถูกซ่อนไว้ใต้ผืนป่า 12 00:00:54,160 --> 00:00:57,600 ตรงนี้เรามีรูปกลมแปดเหลี่ยม 13 00:00:58,240 --> 00:01:01,840 รูปแปดเหลี่ยมนี้ มีขนาดราว 100 เมตร 14 00:01:01,920 --> 00:01:04,080 - เส้นผ่านศูนย์กลาง 100 เมตร - เส้นผ่านศูนย์กลาง 15 00:01:04,160 --> 00:01:06,040 สุดยอดเลยครับ ไม่มีใครรู้ว่ามันอยู่ที่นั่น 16 00:01:06,120 --> 00:01:08,280 จนกระทั่งคุณเอาไลดาร์ขึ้นไปบิน 17 00:01:08,360 --> 00:01:09,720 ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย 18 00:01:09,800 --> 00:01:12,840 ครับ เหลือเชื่อจริงๆ ที่เทคโนโลยีนี้เปิดเผยอะไรได้บ้าง 19 00:01:12,920 --> 00:01:15,200 ขยับไปดูเค้าโครงน่าสนใจตรงนี้กัน 20 00:01:18,520 --> 00:01:20,760 จีโอกลิฟสองรอยนี้เกือบจะซ้อนทับกัน 21 00:01:20,840 --> 00:01:22,280 และดูเหมือนจะเชื่อมต่อกัน 22 00:01:24,200 --> 00:01:25,640 มันอาจเชื่อมกับรอยอื่นๆ ด้วย 23 00:01:27,480 --> 00:01:31,080 นี่คือถนนที่มีกำแพงดินขนาบทั้งสองข้าง 24 00:01:31,160 --> 00:01:32,920 - ถนนโบราณเหรอ - ถนนโบราณครับ 25 00:01:33,000 --> 00:01:35,360 พาไปยังกำแพงดินสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ 26 00:01:35,440 --> 00:01:37,120 - ครับ - น่าทึ่งมาก 27 00:01:38,480 --> 00:01:42,480 ถ้าจีโอกลิฟเหล่านี้ถูกสร้างขึ้น ช่วงเดียวกับรอยอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง 28 00:01:42,560 --> 00:01:46,320 ถนนเหล่านี้ก็ชี้ให้เห็นว่าเคยมีอารยธรรม ที่มีการจัดระบบอย่างดีเจริญรุ่งเรืองที่นี่ 29 00:01:47,680 --> 00:01:50,400 อย่างน้อย 2,500 ปีก่อน 30 00:01:51,360 --> 00:01:52,360 (ราว 2,500 ปีก่อน) 31 00:01:52,440 --> 00:01:54,480 และมีหลักฐานว่าพวกมันอาจอยู่แถวนี้ 32 00:01:54,560 --> 00:01:56,200 มานานกว่านั้นมาก 33 00:01:58,160 --> 00:02:01,320 เราพบว่ารอยพวกนี้หลายแห่ง 34 00:02:01,400 --> 00:02:04,840 ถูกสร้างขึ้นมาแล้วเมื่อ 10,000 ปีก่อน 35 00:02:06,040 --> 00:02:08,240 (ราว 2,500 ปีก่อน) 36 00:02:08,320 --> 00:02:13,120 เราไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าพวกนี้เป็นจีโอกลิฟ ที่ถูกบูรณะและเก่าแก่กว่านั้นหรือไม่ 37 00:02:14,000 --> 00:02:17,720 แต่ที่เรารู้ก็คือมีมนุษย์อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น 38 00:02:17,800 --> 00:02:21,760 และหลักฐานนั้นก็พาย้อนกลับไป กว่า 10,000 ปีในอดีต 39 00:02:21,840 --> 00:02:24,360 และพาเราไปใกล้กับจุดสิ้นสุด ของยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย 40 00:02:25,840 --> 00:02:27,520 ไม่ว่าพวกมันจะเก่าแก่แค่ไหน 41 00:02:27,600 --> 00:02:30,840 ขนาดของโครงการนี้ก็น่าทึ่งจริงๆ 42 00:02:32,400 --> 00:02:34,000 นี่เลยทำให้เกิดคำถามว่า 43 00:02:34,080 --> 00:02:36,120 ต้องใช้คนเท่าไรในการสร้างอะไรแบบนี้ 44 00:02:36,880 --> 00:02:39,560 เราคิดว่าน่าจะใช้เป็นแสนๆ คนเลย 45 00:02:39,640 --> 00:02:42,160 ครับ ต้องใช้กำลังคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ หลายแสนคนแน่นอน 46 00:02:42,760 --> 00:02:43,720 น่าทึ่งจริงๆ 47 00:02:45,240 --> 00:02:47,480 ศาสตราจารย์พาร์ซิเนนไม่ได้บอกว่า 48 00:02:47,560 --> 00:02:50,200 คนพวกนั้นทั้งหมดสร้างจีโอกลิฟ 49 00:02:51,280 --> 00:02:55,760 แต่ประชากรจำนวนมากขนาดนั้น ต้องมีอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน 50 00:02:55,840 --> 00:02:59,520 เพื่อจัดหาและช่วยเหลือเรื่องแรงงานที่จำเป็น 51 00:03:03,680 --> 00:03:06,000 ในระยะไม่กี่ร้อยเมตรใกล้กับจีโอกลิฟที่ถูกพบแล้ว 52 00:03:06,080 --> 00:03:09,760 ทีมไลดาร์ของเราพบจีโอกลิฟที่ไม่มีใครรู้จักเพิ่ม 53 00:03:09,840 --> 00:03:13,120 แล้วเราจะค้นพบอะไรอีก 54 00:03:13,200 --> 00:03:16,440 ถ้าค้นลึกเข้าไปในป่าฝนแห่งนี้อีกหลายกิโลเมตร 55 00:03:18,720 --> 00:03:23,320 นี่เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราเคยเข้าใจ เกี่ยวกับแอมะซอเนียไปเลย 56 00:03:23,400 --> 00:03:25,280 เรากำลังเจอปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากที่นี่ 57 00:03:25,360 --> 00:03:28,040 ที่ต้องมาเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของทวีปอเมริกา 58 00:03:28,120 --> 00:03:30,400 และเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโลกเลย 59 00:03:42,200 --> 00:03:46,240 {\an8}(หายนะอารยะธรรมโบราณ อเมริกา) 60 00:03:46,320 --> 00:03:49,120 {\an8}(ตอนที่สอง) 61 00:03:58,680 --> 00:04:03,480 เราไม่อาจบอกเล่าเรื่องราวของทวีปอเมริกาได้ 62 00:04:03,560 --> 00:04:08,840 จนกว่าเราจะมีความรู้ที่สมบูรณ์มากขึ้น ว่าเกิดอะไรขึ้นในแอมะซอน 63 00:04:11,080 --> 00:04:14,920 ไม่ใช่แค่ 1,000 ปีก่อน แต่เป็น 10,000 ปีก่อน 20,000 ปีก่อน 64 00:04:15,000 --> 00:04:16,080 หรือ 30,000 ปีก่อนเลย 65 00:04:18,840 --> 00:04:20,120 เราต้องสืบสาวกลับไปเรื่อยๆ 66 00:04:20,200 --> 00:04:23,800 เราไม่ควรปิดใจต่อความเป็นไปได้พวกนี้ 67 00:04:27,800 --> 00:04:31,000 และมีหลักฐานน่าตื่นเต้น ที่ชี้ว่ามีประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่กว่านั้น 68 00:04:31,080 --> 00:04:33,720 อยู่ห่างไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ของอาเกรราว 1,600 กม. 69 00:04:36,040 --> 00:04:38,320 ผมมาที่อุทยานแห่งชาติมอนเตอาเลเกร 70 00:04:38,400 --> 00:04:40,120 ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำแอมะซอน 71 00:04:41,040 --> 00:04:43,960 (มอนเตอาเลเกร) 72 00:04:45,280 --> 00:04:49,040 แม้ว่าลุ่มแม่น้ำแอมะซอนส่วนใหญ่ จะเป็นที่ราบและปกคลุมด้วยต้นไม้ 73 00:04:50,960 --> 00:04:55,680 แต่ที่นี่มีโขดหินโดดเด่น ตั้งตระหง่านอยู่เหนือยอดไม้ 74 00:04:57,480 --> 00:05:00,960 ดร.คริสโตเฟอร์ เดวิส นักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยา 75 00:05:01,040 --> 00:05:05,480 ใช้เวลาหลายปีตรวจสอบการค้นพบ ที่อาจเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ 76 00:05:05,560 --> 00:05:07,560 ที่อยู่บนสันเขาเหล่านี้ 77 00:05:13,800 --> 00:05:15,680 นี่คือเซร์รา โด ไพทูน่า 78 00:05:16,400 --> 00:05:18,000 (เซร์รา โด ไพทูน่า) 79 00:05:18,080 --> 00:05:19,800 เนินเขาแห่งทะเลสาบแบล็กวอเตอร์ 80 00:05:23,520 --> 00:05:25,960 ผาหินสูงตระหง่านประดับประดาด้วย 81 00:05:26,040 --> 00:05:28,800 สิ่งที่ดูเหมือนเป็นภาพเขียนสีโบราณ 82 00:05:39,200 --> 00:05:40,880 ขอบคุณที่นำทางนะครับ 83 00:05:45,520 --> 00:05:50,440 ตอนนี้เราอยู่ท่ามกลางศิลปะที่น่าทึ่งนี้ 84 00:05:50,520 --> 00:05:53,880 อะไรทำให้คุณมาทำการตรวจสอบ และสำรวจนี้ครับ 85 00:05:53,960 --> 00:05:57,560 {\an8}ผมเริ่มทำงานด้านโบราณคดี ตอนเป็นนักศึกษาปริญญาโท 86 00:05:57,640 --> 00:06:01,000 ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าทวีปอเมริกา มีศิลปะบนก้อนหินด้วย 87 00:06:01,800 --> 00:06:03,800 เรื่องนี้ทำให้ผมตะลึงไปเลย 88 00:06:06,720 --> 00:06:08,960 ภาพเหล่านี้เรียกว่าพิกโตกราฟ 89 00:06:13,640 --> 00:06:15,440 บางภาพก็เรียบง่ายมาก 90 00:06:15,520 --> 00:06:18,040 อย่างเช่นงูเลื้อยบนหิน 91 00:06:19,920 --> 00:06:23,240 ภาพอื่นเป็นลวดลายเรขาคณิตที่ซับซ้อนกว่า 92 00:06:26,680 --> 00:06:30,160 คำถามสำคัญคือภาพเหล่านี้ถูกวาดขึ้นเมื่อไร 93 00:06:33,800 --> 00:06:35,680 ตัวภาพวาดไม่สามารถระบุอายุได้ 94 00:06:36,360 --> 00:06:39,280 ดังนั้นดร.เดวิสและทีมของเขา จึงมองหาหลักฐานอื่น 95 00:06:40,960 --> 00:06:43,920 ตอนนี้คุณใช้อะไรระบุอายุของจุดนี้ครับ 96 00:06:44,000 --> 00:06:46,320 มันได้มาจากการขุดที่เราเคยทำด้านหลังนี่น่ะครับ 97 00:06:46,400 --> 00:06:48,040 (ปี 2011) 98 00:06:48,120 --> 00:06:53,800 เราพบเศษไม้ที่ผ่านการเผา ส่วนใหญ่เป็นไม้ปาล์ม กับเมล็ดพืชที่ถูกเผา 99 00:06:53,880 --> 00:06:56,440 เราพบหลักฐานการมีไฟในสมัยนั้นด้วย 100 00:06:58,000 --> 00:07:00,320 ผลลัพธ์นั้นคาดไม่ถึงจริงๆ 101 00:07:03,040 --> 00:07:05,080 ผลการหาอายุเรดิโอคาร์บอน 102 00:07:05,160 --> 00:07:09,840 วันที่เก่าแก่ที่สุดที่เราพบคือ ราว 13,200 ปีก่อนปัจจุบัน 103 00:07:09,920 --> 00:07:11,280 น่าทึ่งมากครับ 104 00:07:12,120 --> 00:07:13,760 (ปัจจุบัน) 105 00:07:13,840 --> 00:07:16,440 ย้อนกลับไปกว่า 13,000 ปี 106 00:07:16,720 --> 00:07:18,160 (ราว 13,200 ปีก่อน) 107 00:07:18,240 --> 00:07:22,400 เรากำลังมองดูงานศิลปะที่เก่าแก่ที่สุดบางส่วน ที่พบในทวีปอเมริกา 108 00:07:28,640 --> 00:07:31,600 งานศิลปะที่สร้างขึ้นในยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย 109 00:07:32,880 --> 00:07:36,680 โดยผู้คนที่เราได้หลักฐานมาว่า จู่ๆ พวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ 110 00:07:37,360 --> 00:07:39,160 ในป่าลึกของแอมะซอน 111 00:07:42,480 --> 00:07:44,800 คุณคงนึกภาพออกนะครับ เมื่อหลายพันปีก่อน 112 00:07:44,880 --> 00:07:46,800 ภาพพวกนี้คงสดใสและมีชีวิตชีวากว่านี้มาก 113 00:07:54,640 --> 00:07:57,600 ภาพเหล่านี้ถูกวาดด้วยดินออร์คสีแดงและเหลือง 114 00:07:58,600 --> 00:08:01,720 และดูเหมือนจะถูกทำให้ทนทานด้วย 115 00:08:05,800 --> 00:08:07,400 ผมเคยทำการทดลองที่นี่ด้วย 116 00:08:07,480 --> 00:08:11,040 ด้วยการเอาออร์คมาวาดลงบนก้อนหิน ออร์คมันถูกชะล้างออกไปเลยครับ 117 00:08:11,120 --> 00:08:12,560 ครับ แปลว่าต้องมีสารยึดเกาะ 118 00:08:12,640 --> 00:08:15,000 ต้องมีสารยึดเกาะ และต้องเป็นตัวที่มีประสิทธิภาพมาก 119 00:08:15,080 --> 00:08:17,440 เราคิดว่าพวกเขาคงผสมออร์คกับยางไม้ 120 00:08:17,960 --> 00:08:22,040 แล้วยางไม้จะกลายเป็นคล้ายๆ อำพัน แต่ว่าใส 121 00:08:22,120 --> 00:08:25,320 งั้นนั่นก็บอกว่าคนที่สร้างภาพวาดพวกนี้ 122 00:08:25,400 --> 00:08:29,160 ข้อแรก มีประสบการณ์ในการทำภาพวาดแบบนี้ 123 00:08:29,240 --> 00:08:32,240 และพวกเขาก็พัฒนาความรู้ เรื่องการทำให้ภาพวาดทนทาน 124 00:08:32,320 --> 00:08:37,400 แน่นอนครับ และนอกจากนั้น มันแสดงถึงการเตรียมตัวและเวลา 125 00:08:40,520 --> 00:08:43,800 สิ่งที่ทำให้ผมสนใจมากที่สุดคือรอยมือมากมาย… 126 00:08:48,240 --> 00:08:53,120 ที่บ่งบอกถึงการสัมผัสของมนุษย์ ผ่านทางรอยมือในศิลปะบนก้อนหิน 127 00:08:55,000 --> 00:08:59,960 มันเกือบเหมือนว่าพวกเขาสัมผัสกำแพงหิน 128 00:09:00,040 --> 00:09:03,000 และผ่านกำแพงหินนั้น ก็มาสัมผัสกับเรา 129 00:09:03,080 --> 00:09:04,960 เป็นการส่งสารถึงอนาคต 130 00:09:06,480 --> 00:09:13,000 {\an8}(เซร์ราเนีย เดอ ลาลินโดซา โคลอมเบีย) 131 00:09:13,080 --> 00:09:16,560 {\an8}มีการพบศิลปะยุคก่อนประวัติศาสตร์เพิ่ม ในตะวันตกของแอมะซอน 132 00:09:17,600 --> 00:09:20,360 เช่นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ซับซ้อนนี้ ในป่าโคลอมเบีย 133 00:09:20,440 --> 00:09:25,120 ที่มีภาพวาดรูปคนอายุ 12,600 ปี 134 00:09:25,200 --> 00:09:28,200 ควบคู่กับภาพที่ดูเหมือนสัตว์ในยุคน้ำแข็ง 135 00:09:31,040 --> 00:09:35,000 {\an8}เรากำลังเห็นการบอกเล่าเรื่องราว จากพยานในเหตุการณ์ที่มนุษย์ 136 00:09:35,080 --> 00:09:38,040 อยู่ร่วมกับเมกาโฟนา สัตว์ยุคน้ำแข็งที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว 137 00:09:38,520 --> 00:09:40,280 {\an8}(เซร์รา ดา คาปิวารา ปราซิล) 138 00:09:40,360 --> 00:09:44,720 {\an8}และทางตะวันออกของแอมะซอน อายุของภาพวาดเหล่านี้เก่าแก่ขึ้นไปอีก 139 00:09:45,600 --> 00:09:48,080 สู่ช่วงกว่า 25,000 ปีก่อน 140 00:09:48,160 --> 00:09:51,120 (ราว 25,000 ปีก่อน) 141 00:09:51,200 --> 00:09:55,480 ซึ่งแปลว่า 2,000 ปีก่อนที่พวกที่ล่าสัตว์ และเก็บของป่าเหล่านั้นจะอาศัยอยู่ 142 00:09:55,560 --> 00:09:57,560 ที่ไวต์แซนส์ในเม็กซิโก 143 00:09:58,440 --> 00:10:02,320 มีคนอยู่อาศัยในป่าของอเมริกาใต้แล้ว 144 00:10:02,400 --> 00:10:04,400 และสร้างสรรค์ภาพวาดแบบนี้ 145 00:10:04,920 --> 00:10:06,720 และทำออกมาเยอะมากด้วย 146 00:10:10,840 --> 00:10:13,280 นี่น่าจะทำให้มีการสำรวจเพิ่มเติม 147 00:10:13,360 --> 00:10:17,120 มนุษย์ในยุคนั้นอาจทำอะไรกันในทวีปอเมริกา 148 00:10:17,200 --> 00:10:19,280 ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา 149 00:10:19,360 --> 00:10:21,080 ที่นักโบราณคดีเคยคิดว่า 150 00:10:21,160 --> 00:10:22,920 สมัยนั้นไม่มีมนุษย์อยู่ที่นั่น 151 00:10:26,400 --> 00:10:30,400 ที่เซร์รา โด ไพทูน่า ดร.เดวิสมั่นใจในเรื่องหนึ่ง 152 00:10:32,160 --> 00:10:35,040 ไม่ว่าคนพวกนี้จะเป็นใคร และไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร 153 00:10:35,560 --> 00:10:38,920 จู่ๆ ภาพวาดบนก้อนหินที่นี่ก็หยุดไป 154 00:10:40,000 --> 00:10:43,120 คนกลุ่มแรกๆ ที่เคยอยู่ภูมิภาคนี้ พวกเขามาที่นี่ 155 00:10:43,200 --> 00:10:46,840 และก็มาวาดภาพศิลปะ แล้วพอราว 12,700 ปีก่อน 156 00:10:46,920 --> 00:10:47,840 พวกเขาก็หายไป 157 00:10:47,920 --> 00:10:50,560 แปลว่าในช่วงนั้นพื้นที่นี้ถูกทิ้งร้างเหรอครับ 158 00:10:50,640 --> 00:10:51,920 ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นครับ 159 00:10:52,000 --> 00:10:54,080 ถูกทิ้งร้างพักใหญ่เลย เป็นพันๆ ปี 160 00:10:54,160 --> 00:10:59,000 สำหรับผม ช่วง 12,700 ปีก่อน เป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญมาก 161 00:10:59,080 --> 00:11:00,240 (ราว 12,700 ปีก่อน) 162 00:11:00,320 --> 00:11:02,760 จริงอยู่ที่การระบุเวลามักมีความคลาดเคลื่อน 163 00:11:03,400 --> 00:11:08,360 แต่ช่วงนั้นใกล้เคียงมากกับช่วงเริ่มต้น ของความผิดปกติทางภูมิอากาศยังเกอร์ ดรายอัส 164 00:11:08,440 --> 00:11:10,680 ผมเลยอดสงสัยไม่ได้ว่า มันมีความเชื่อมโยงกันไหม 165 00:11:13,160 --> 00:11:16,120 ในช่วงนั้น อุณหภูมิโลกเกิดลดฮวบ 166 00:11:17,280 --> 00:11:20,800 ขณะที่เกิดไฟไหม้อย่างไม่คาดคิดไปทั่วทั้งโลก 167 00:11:23,400 --> 00:11:24,560 และระดับน้ำทะเลก็สูงขึ้น 168 00:11:32,720 --> 00:11:35,800 เราสามารถได้ยินเสียงสะท้อน ของยุคสมัยที่หายนะนี้ 169 00:11:38,720 --> 00:11:40,800 ในตำนานเรื่องเล่าของแอมะซอเนีย 170 00:11:43,840 --> 00:11:47,280 มีตำนานและเรื่องเล่ามากมาย เกี่ยวกับหายนะในยุคโบราณ 171 00:11:47,360 --> 00:11:49,360 ที่ยังคงเล่าขานกันทั่วแอมะซอน 172 00:11:49,920 --> 00:11:53,120 และเรื่องนี้ที่ผมพบว่าน่าสนใจเป็นพิเศษ 173 00:11:57,680 --> 00:12:03,800 ตามที่ชนพื้นเมืองเผ่าทิริโยเล่าขานกันมา ในอดีตกาล วิญญาณแห่งท้องฟ้าบอกแก่หมอผี 174 00:12:03,880 --> 00:12:06,480 ว่าจะมีน้ำท่วมใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นในไม่ช้า 175 00:12:06,560 --> 00:12:08,920 เป็นการลงโทษแก่ความชั่วร้ายของผู้คน 176 00:12:10,440 --> 00:12:14,760 บางคนฟังคำเตือนของเขา และหนีไปยังที่ปลอดภัยบนยอดเขาคันตานิ 177 00:12:18,400 --> 00:12:20,400 แต่ส่วนใหญ่เสียชีวิตในน้ำท่วม 178 00:12:22,040 --> 00:12:27,400 ในที่สุดน้ำท่วมก็ลดลง ทิ้งให้ผู้รอดชีวิตเริ่มต้นใหม่ 179 00:12:33,920 --> 00:12:36,960 นี่เป็นประเพณีที่เล่าขานกันทั่วโลก มียุคทอง 180 00:12:37,040 --> 00:12:41,040 ช่วงเวลาที่ผู้คนเคยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข 181 00:12:41,120 --> 00:12:43,960 แต่แล้วสิ่งนั้นกลับเสื่อมถอยลง จากมาตรฐานสูงที่เคยเป็น 182 00:12:44,040 --> 00:12:47,800 และถูกลงโทษด้วยน้ำท่วมครั้งใหญ่ ด้วยการทำลายล้างที่เกิดขึ้นทั่วโลก 183 00:12:47,880 --> 00:12:49,920 ซึ่งกวาดล้างทุกสิ่งออกไปจากพื้นโลก 184 00:12:51,520 --> 00:12:56,080 การที่ตำนานนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก ไม่น่าเป็นเรื่องบังเอิญ 185 00:12:57,160 --> 00:13:01,880 ผมเชื่อว่าเรื่องราวโบราณเหล่านี้ อาจเป็นความทรงจำสุดท้ายที่เหลืออยู่ 186 00:13:01,960 --> 00:13:05,000 ของเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นทั่วโลก 187 00:13:05,080 --> 00:13:06,920 ในช่วงสิ้นสุดยุคน้ำแข็ง 188 00:13:07,000 --> 00:13:09,040 ในช่วงเวลาแห่งความหายนะ 189 00:13:09,120 --> 00:13:11,560 ที่เราเรียกกันว่า มหาวิบัติยุคโบราณ 190 00:13:27,720 --> 00:13:29,840 มีหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 191 00:13:29,920 --> 00:13:33,800 ที่ชี้ให้เห็นว่าโลกได้เคลื่อนผ่าน เส้นทางของเศษซากดาวหาง 192 00:13:33,880 --> 00:13:37,600 และมีการให้เหตุผลว่า การชนเศษซากดาวหางหลายชิ้น 193 00:13:37,680 --> 00:13:43,560 ทำให้เกิดวิกฤตทางภูมิอากาศ ในยุคยังเกอร์ ดรายอัส 194 00:13:43,640 --> 00:13:45,280 เมื่อ 12,800 ปีก่อน 195 00:13:53,520 --> 00:13:59,160 นี่คือแนวคิดที่เราพบบ่อยๆ ที่เรียกว่า สมมติฐานเรื่องผลกระทบจากยังเกอร์ ดรายอัส 196 00:14:01,240 --> 00:14:03,640 ในซีกโลกใต้และซีกโลกเหนือ 197 00:14:04,360 --> 00:14:07,440 {\an8}นักวิทยาศาสตร์พบชั้นสีดำด้านที่มีลักษณะแบบนี้ 198 00:14:07,520 --> 00:14:10,680 {\an8}แสดงร่องรอยของนาโนไดมอนด์ แพลทินัม และอิริเดียม 199 00:14:10,760 --> 00:14:14,000 บอกถึงการชนของวัตถุจากอวกาศ หรือการระเบิดในอากาศที่เกิดขึ้นใกล้เคียง 200 00:14:15,360 --> 00:14:18,160 แต่ในแอมะซอนแห่งนี้ อาจมีหลักฐานอื่น 201 00:14:18,240 --> 00:14:19,800 ประทับอยู่บนหน้าผา 202 00:14:25,520 --> 00:14:28,080 เรามีภาพวาดดาวหางหลายภาพ 203 00:14:28,160 --> 00:14:30,160 แต่มีภาพหนึ่งน่าสนใจเป็นพิเศษ 204 00:14:30,240 --> 00:14:36,080 คือภาพของดาวหางที่หันหัวขึ้นด้านบน 205 00:14:36,160 --> 00:14:38,240 หางของมันชี้ลง ส่วนหัวชี้ขึ้น 206 00:14:38,320 --> 00:14:39,240 ครับ 207 00:14:39,320 --> 00:14:42,440 บนภาพดาวหางนั้น มีภาพวาดของดวงอาทิตย์อยู่ด้วย 208 00:14:44,000 --> 00:14:48,000 ตอนเห็นมันครั้งแรก ผมงงมาก เพราะปกติคุณจะไม่เห็นดาวหาง 209 00:14:48,080 --> 00:14:49,520 จนกว่าพระอาทิตย์จะตก 210 00:14:50,680 --> 00:14:54,240 ดาวหางส่วนใหญ่สามารถแยกได้ง่าย จากหางของมัน 211 00:14:54,880 --> 00:14:57,800 ปกติมักมองเห็นได้เหนือดวงอาทิตย์ ที่กำลังตกเท่านั้น 212 00:14:57,880 --> 00:14:59,480 โดยหางจะชี้ออกจากดวงอาทิตย์ 213 00:15:00,400 --> 00:15:03,800 จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นดาวหาง อยู่ต่ำกว่าดวงอาทิตย์ 214 00:15:03,880 --> 00:15:05,200 ตอนกลางวันแสกๆ เนี่ยนะ 215 00:15:07,880 --> 00:15:11,840 มันเลยทำให้ผมสงสัยว่าเวลาแบบไหนกัน ที่จะทำให้คุณเห็นดาวหางที่หัวชี้ขึ้น 216 00:15:11,920 --> 00:15:13,160 ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน 217 00:15:13,960 --> 00:15:15,440 อาจจะตอนเกิดสุริยุปราคา 218 00:15:16,080 --> 00:15:19,760 ผมเลยเริ่มค้นหาในซอฟต์แวร์ดาราศาสตร์ 219 00:15:19,840 --> 00:15:25,520 และพบว่ามีสุริยุปราคาเกิดขึ้นตรงกับภาพนั้น เมื่อราว 13,027 ปีก่อน 220 00:15:25,600 --> 00:15:26,520 ครับ 221 00:15:26,600 --> 00:15:30,840 และดาวหางก็อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ 222 00:15:32,800 --> 00:15:35,360 ถ้ามันเกิดสุริยุปราคาที่ทำให้ดวงอาทิตย์มืด 223 00:15:35,440 --> 00:15:38,720 คุณอาจจะเห็นดาวหางดวงนี้ได้แบบปุบปับ 224 00:15:38,800 --> 00:15:41,680 และหัวของมันอาจชี้ขึ้นหาดวงอาทิตย์ 225 00:15:41,760 --> 00:15:43,800 นั่นคือที่เราเห็นในภาพวาดเหรอครับ 226 00:15:43,880 --> 00:15:45,720 ภาพวาดดูเหมือนจะแสดงให้เห็นแบบนั้นครับ 227 00:15:46,320 --> 00:15:50,200 เป็นไปได้ไหมว่าภาพวาดนี้บันทึกเหตุการณ์ ดาวหางที่หลายคนเชื่อว่าแตกเป็นชิ้นๆ 228 00:15:50,920 --> 00:15:54,840 และเศษซากของมันก็พุ่งชนโลก ก่อให้เกิดเหตุการณ์ยังเกอร์ ดรายอัส 229 00:15:57,840 --> 00:16:01,960 ผมคิดว่าคนในสมัยโบราณ เริ่มได้รับสัญญาณเตือนจากท้องฟ้าแล้ว 230 00:16:02,040 --> 00:16:05,960 พวกเขาเริ่มตระหนักว่า มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปบนฟากฟ้า 231 00:16:06,040 --> 00:16:10,040 ไม่แน่พวกเขาอาจกำลังวาดภาพ สัญญาณแรกของวันสิ้นโลก 232 00:16:10,120 --> 00:16:11,120 ที่กำลังจะมาถึง 233 00:16:24,760 --> 00:16:29,080 ช่วงเวลานั้นตรงกับช่วงที่มนุษย์ไปจากผาหินแห่งนี้ 234 00:16:30,560 --> 00:16:32,280 ผมรู้ว่านักโบราณคดีไม่ชอบการคาดเดา 235 00:16:32,360 --> 00:16:33,920 และผมจะขอให้คุณคาดเดา 236 00:16:34,000 --> 00:16:36,200 คุณคิดว่ายังเกอร์ ดรายอัสมีส่วนเกี่ยวข้อง 237 00:16:36,280 --> 00:16:37,920 กับการที่อยู่ๆ กิจกรรมที่นี่ก็หยุดไปไหม 238 00:16:38,000 --> 00:16:39,760 คุณมองข้ามเรื่องนั้นไม่ได้แน่นอน 239 00:16:39,840 --> 00:16:42,440 เพราะมันเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นพอดี 240 00:16:53,960 --> 00:16:56,840 ในความเห็นส่วนตัว คุณประเมินยังไงครับ 241 00:16:56,920 --> 00:16:59,400 เกี่ยวกับผู้คนที่วาดภาพวาดนี้ 242 00:16:59,480 --> 00:17:01,520 คุณจินตนาการพวกเขาในใจยังไง 243 00:17:01,600 --> 00:17:05,360 มันยากที่จะจินตนาการว่า พวกเขาต้องกล้าหาญแค่ไหน 244 00:17:05,440 --> 00:17:07,280 ที่ต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ 245 00:17:07,880 --> 00:17:09,880 แบบว่า พวกเขาเป็นผู้บุกเบิก 246 00:17:12,120 --> 00:17:15,440 แต่ผู้บุกเบิกพวกนี้มาถึงที่นี่ได้ยังไงตั้งแต่แรก 247 00:17:18,120 --> 00:17:24,040 ในปี 2015 นักวิทยาศาสตร์ที่ตรวจสอบคำถามนั้น ได้พบข้อมูลที่น่าตกใจ 248 00:17:25,640 --> 00:17:29,440 พวกเขาพบว่าสมาชิกของบางชนเผ่าพื้นเมือง ในแอมะซอน 249 00:17:29,520 --> 00:17:32,480 มีเครื่องหมายดีเอ็นเอเฉพาะเหมือนกัน 250 00:17:33,800 --> 00:17:36,880 กับผู้คนที่อยู่อีกฟากของมหาสมุทรแปซิฟิก 251 00:17:39,840 --> 00:17:43,560 ข้อเท็จจริงที่ว่าเราพบมันในชนเผ่า ในป่าฝนแอมะซอนอันห่างไกล 252 00:17:43,640 --> 00:17:47,680 และในปาปัวนิวกินี ไต้หวัน และออสเตรเลีย 253 00:17:47,760 --> 00:17:52,680 บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเคยมีการเดินทาง 254 00:17:52,760 --> 00:17:54,760 ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกโดยตรง 255 00:17:56,000 --> 00:18:00,040 ที่น่าประหลาดใจกว่านั้น คือที่ที่ไม่พบร่องรอยดีเอ็นเอนี้ 256 00:18:02,000 --> 00:18:07,880 เราไม่พบร่องรอยดีเอ็นเอนี้ ในอเมริกาเหนือเลยครับ 257 00:18:08,480 --> 00:18:11,840 ถ้าผู้คนอพยพเข้ามาในทวีปอเมริกาทางบก 258 00:18:11,920 --> 00:18:15,800 เราควรพบร่องรอยดีเอ็นเอนี้ในอเมริกาเหนือ 259 00:18:15,880 --> 00:18:17,520 และอเมริกาใต้ด้วยสิ 260 00:18:18,680 --> 00:18:25,560 ยิ่งไปกว่านั้น ร่องรอยดีเอ็นเอนี้ก็เก่ามาก โดยมีอายุย้อนกลับไปอย่างต่ำ 10,000 ปี 261 00:18:26,600 --> 00:18:30,040 ไม่ควรมีใครสามารถข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก 262 00:18:30,120 --> 00:18:34,520 จากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้ เมื่อ 10,000 หรือ 11,000 ปีก่อน 263 00:18:34,600 --> 00:18:38,320 ถ้าเกิดขึ้นจริง นี่จะเปลี่ยนแปลง เรื่องราวทั้งหมดไปอย่างสิ้นเชิง 264 00:18:38,920 --> 00:18:41,400 ถ้ามีสถานที่แห่งหนึ่งบนโลกที่อาจมีเบาะแส 265 00:18:41,480 --> 00:18:43,600 ว่าใครกันที่ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกในเวลานั้น… 266 00:18:47,560 --> 00:18:48,520 ก็คือที่นี่ครับ 267 00:18:52,360 --> 00:18:55,800 ผมมายังหนึ่งในเกาะที่มีผู้คนอยู่อาศัย ที่ห่างไกลที่สุดในโลก 268 00:18:58,120 --> 00:19:01,360 ห่างไปทางตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ ราว 3,700 กิโลเมตร 269 00:19:01,960 --> 00:19:05,520 และห่างไปทางตะวันออกของตาฮิติ ราว 4,200 กิโลเมตร 270 00:19:07,680 --> 00:19:13,880 ในวันอาทิตย์อีสเตอร์ ปี 1722 นักสำรวจชาวดัตช์บังเอิญพบเกาะเล็กๆ แห่งนี้ 271 00:19:13,960 --> 00:19:15,760 (มหาสมุทรแปซิฟิก) 272 00:19:15,840 --> 00:19:18,400 มันซ่อนอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก 273 00:19:20,240 --> 00:19:22,920 พวกเขาเลยตั้งชื่อเกาะนี้ว่า "เกาะอีสเตอร์" 274 00:19:24,080 --> 00:19:26,920 แต่พวกเขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ 275 00:19:27,920 --> 00:19:32,320 ปัจจุบันผู้คนเหล่านี้ เรียกบ้านของพวกเขาว่า "ราปานูอี" 276 00:19:32,760 --> 00:19:36,360 (ราปานูอี) 277 00:19:38,480 --> 00:19:40,120 มาดูภูมิศาสตร์พื้นฐานของมันกันครับ 278 00:19:43,160 --> 00:19:47,040 มันตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก 279 00:19:47,120 --> 00:19:51,080 เป็นแค่แผ่นดินจุดๆ เล็ก 280 00:19:53,040 --> 00:19:57,240 สิ่งแรกที่น่าทึ่งเกี่ยวกับเกาะนี้คือ 281 00:19:57,320 --> 00:19:59,120 คนมาเจอมันได้ยังไง 282 00:19:59,200 --> 00:20:03,480 ใครก็ตามมาลงเอยตั้งถิ่นฐาน บนเกาะอีสเตอร์ได้ยังไง 283 00:20:04,200 --> 00:20:08,000 มหาสมุทรแปซิฟิกก็ใหญ่โตมโหฬารออกปานนี้ 284 00:20:09,960 --> 00:20:13,640 ร่องรอยดีเอ็นเอนั้นที่กระจายอยู่ทั่วแปซิฟิก ทำให้ผมเชื่อว่า 285 00:20:13,720 --> 00:20:18,320 เกาะนี้อาจมีบทบาทสำคัญ ที่ผมใช้ในการเขียนเรื่องราว 286 00:20:18,400 --> 00:20:20,720 ของอารยธรรมยุคน้ำแข็งที่สูญหายไปขึ้นมาใหม่ได้ 287 00:20:22,400 --> 00:20:23,240 ทำไมน่ะเหรอ 288 00:20:25,920 --> 00:20:27,160 เพราะเจ้าพวกนี้ครับ 289 00:20:29,760 --> 00:20:33,200 รูปปั้นหินขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านเหนือภูมิทัศน์… 290 00:20:37,280 --> 00:20:39,400 ที่ทำให้ราปานูอีมีชื่อเสียงในทุกวันนี้ 291 00:20:47,520 --> 00:20:48,720 ทั่วทั้งมหาสมุทรแปซิฟิก 292 00:20:48,800 --> 00:20:52,600 มีหลายเกาะเลย ที่มีโครงสร้างหินขนาดใหญ่ที่น่าทึ่ง 293 00:20:53,320 --> 00:20:57,680 แต่ที่ที่มีรูปปั้นหินดังกล่าวหนาแน่นที่สุดคือที่นี่ 294 00:20:57,760 --> 00:20:59,760 ชาวเกาะเรียกพวกมันว่า "โมอาย" 295 00:21:05,600 --> 00:21:08,000 มันมีมากกว่า 1,000 ตัว 296 00:21:08,080 --> 00:21:10,680 (ราปานูอี) 297 00:21:10,760 --> 00:21:14,320 อยู่บนเกาะอันห่างไกล ที่มีขนาดเล็กกว่าวอชิงตันดีซี 298 00:21:19,120 --> 00:21:23,880 หลายตัวตั้งเรียงตามแนวชายฝั่ง หันหน้าเข้าหาแผ่นดิน… 299 00:21:28,200 --> 00:21:30,720 ขณะที่บางตัวพบอยู่กระจัดกระจาย 300 00:21:31,800 --> 00:21:35,760 ราวกับว่าโครงการขนาดใหญ่นี้ถูกทิ้งกลางคัน 301 00:21:41,480 --> 00:21:46,480 สำหรับผม เกาะอีสเตอร์เป็นหนึ่ง ในสถานที่ที่น่าหลงใหลที่สุดในโลก 302 00:21:47,080 --> 00:21:49,720 รูปปั้นโมอายอันยิ่งใหญ่ 303 00:21:49,800 --> 00:21:53,360 รูปปั้นคนที่แกะสลักจากหินภูเขาไฟเนื้อนุ่มพวกนี้ 304 00:21:55,160 --> 00:21:58,040 มันเผชิญหน้าเราด้วยปริศนาตรงนั้นเลย 305 00:21:58,120 --> 00:21:59,840 ปริศนาที่ต้องการคำอธิบาย 306 00:22:04,280 --> 00:22:07,320 ใครคือคนแกะสลักรูปปั้นยักษ์พวกนี้ 307 00:22:07,400 --> 00:22:09,120 พวกเขาพยายามจะทำอะไรให้สำเร็จ 308 00:22:09,200 --> 00:22:12,760 และทำไมถึงทุ่มเทความพยายามมากมายขนาดนั้น 309 00:22:14,520 --> 00:22:16,960 นี่เป็นปริศนาที่ไม่มีคำตอบที่แน่ชัด 310 00:22:17,040 --> 00:22:20,280 ที่ผ่านมามีเพียงการคาดเดาเท่านั้น 311 00:22:32,280 --> 00:22:35,600 ช่องว่างในความรู้ของเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ 312 00:22:35,680 --> 00:22:37,680 เกิดจากน้ำมือคนนอกเป็นส่วนใหญ่ 313 00:22:39,880 --> 00:22:41,640 ในช่วงศตวรรษที่ 19 314 00:22:41,720 --> 00:22:44,880 ชาวราปานูอีถูกลดจำนวนลง จนเหลือเพียงน้อยนิด 315 00:22:44,960 --> 00:22:47,840 จากการโจมตีของพวกค้าทาสและโรคระบาด 316 00:22:48,960 --> 00:22:50,440 ผู้ที่ยังเหลือรอดอยู่ 317 00:22:50,520 --> 00:22:53,680 มาหลบซ่อนในถ้ำลาวาใต้ดินเหมือนกับถ้ำนี้ 318 00:22:56,760 --> 00:22:59,440 ผมมักพูดว่าเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ลืมง่าย 319 00:22:59,960 --> 00:23:02,880 และนั่นเป็นความจริงเลย โดยเฉพาะกับเกาะอีสเตอร์ 320 00:23:02,960 --> 00:23:04,760 เพราะที่นี่มีประวัติศาสตร์อันน่าเศร้า 321 00:23:05,640 --> 00:23:11,120 ตั้งแต่ที่เกาะอีสเตอร์ได้พบกับวัฒนธรรมตะวันตก 322 00:23:12,280 --> 00:23:13,480 หายนะก็บังเกิด 323 00:23:15,120 --> 00:23:20,000 ผู้อาวุโสที่มีความทรงจำเก่าก่อนถูกพรากไปหมด 324 00:23:20,800 --> 00:23:23,000 ทาสบางคนถูกส่งตัวกลับในภายหลัง 325 00:23:23,880 --> 00:23:26,280 แต่ก็นำโรคร้ายกลับมาด้วย 326 00:23:26,880 --> 00:23:28,840 ผลตามมาก็คือชาวเกาะที่เหลืออยู่ 327 00:23:28,920 --> 00:23:30,480 ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น 328 00:23:35,320 --> 00:23:38,440 เลโอ ปาการาตี เป็นนักสารคดีชนพื้นเมือง 329 00:23:38,520 --> 00:23:42,080 {\an8}ครอบครัวของเขาได้รักษา ตำนานเรื่องเล่าของปารานูอี 330 00:23:42,160 --> 00:23:43,440 {\an8}มาหลายชั่วอายุคน 331 00:23:44,960 --> 00:23:47,760 เขาตระหนักอย่างเจ็บปวดถึงสิ่งที่สูญเสียไป 332 00:23:47,840 --> 00:23:50,560 ในช่วงเวลาอันมืดมน ระหว่างการโจมตีของพวกค้าทาส 333 00:23:52,080 --> 00:23:55,320 ความทรงจำเดียวเรื่องต้นกำเนิด ของเกาะอีสเตอร์ที่ถูกเก็บรักษาไว้ 334 00:23:55,400 --> 00:23:58,480 คือความทรงจำที่รอดพ้นจากศตวรรษที่ 19 335 00:23:59,080 --> 00:24:04,040 ในช่วงเวลาหนึ่งทางประวัติศาสตร์ เราเหลือกันบนเกาะแค่ 111 คนครับ 336 00:24:04,120 --> 00:24:05,600 มันเป็นหายนะครั้งใหญ่เลย 337 00:24:05,680 --> 00:24:07,320 เป็นหายนะทางวัฒนธรรมด้วย 338 00:24:07,400 --> 00:24:10,320 เพราะคุณต้องการคนจำนวนมาก เพื่อรักษาความรู้เอาไว้ 339 00:24:10,400 --> 00:24:11,920 ยิ่งคนน้อย ความรู้ก็เหลือน้อย 340 00:24:12,000 --> 00:24:15,960 และเราก็สูญเสีย ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของเราไป 341 00:24:17,520 --> 00:24:20,840 อย่างไรก็ตาม แม้จะมีอุปสรรคมากมาย 342 00:24:20,920 --> 00:24:23,280 ราปานูอีก็ยังคงเก็บรักษาความทรงจำ 343 00:24:23,360 --> 00:24:26,720 เกี่ยวกับปริศนาที่น่าสนใจที่สุด ของเกาะเล็กๆ แห่งนี้ 344 00:24:28,120 --> 00:24:30,800 บอกผมหน่อยครับว่าตำนานโบราณ พูดถึงโมอายไว้ว่ายังไง 345 00:24:30,880 --> 00:24:35,120 ชื่อจริงของโมอายคือ "เต อาริงา โอรา โอ เต ตูปูนา" 346 00:24:35,200 --> 00:24:37,400 "ใบหน้าที่มีชีวิตของบรรพบุรุษ" 347 00:24:37,480 --> 00:24:38,560 นั่นคือชื่อของมัน 348 00:24:38,640 --> 00:24:42,640 แนวคิดก็คือโมอายเป็นตัวแทนของบุคคลจริง 349 00:24:43,120 --> 00:24:46,560 และตอนนี้ชีวิต คนคนนี้ก็มีความพิเศษ มีความสำคัญ 350 00:24:48,080 --> 00:24:49,880 ตามตำนานราปานูอี 351 00:24:49,960 --> 00:24:53,520 บรรพบุรุษคนสำคัญเหล่านี้ ถูกจารึกไว้ในรูปแบบของโมอาย 352 00:24:54,280 --> 00:24:57,160 ลักษณะหน้าตาที่ดูโดดเด่นนี้ แสดงถึงตำแหน่งของพวกเขา 353 00:24:57,960 --> 00:24:59,720 โมอายบางตัวมีหูสั้น 354 00:24:59,800 --> 00:25:01,800 โมอายบางตัวมีหูยาว มันคือยังไงครับ 355 00:25:01,880 --> 00:25:04,640 เป็นเพราะความแตกต่าง ของชนชั้นทางสังคมบนเกาะครับ 356 00:25:04,720 --> 00:25:08,160 บางคนก็อายุยืนจนหูยาว 357 00:25:08,240 --> 00:25:12,280 บางคนก็ไว้เล็บยาวด้วย มันเป็นเครื่องแสดงสถานะทางสังคม 358 00:25:12,360 --> 00:25:15,200 งั้นนิ้วยาวๆ ของโมอาย ที่จริงมันคือเล็บเหรอครับ 359 00:25:15,280 --> 00:25:17,080 พวกมันมีนิ้วยาวครับ 360 00:25:17,160 --> 00:25:20,360 และบางตัวก็มีเล็บโค้งๆ ยาวๆ ด้วย 361 00:25:23,720 --> 00:25:27,920 ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะไม่เห็นความคล้ายคลึงนี้ 362 00:25:28,000 --> 00:25:30,080 กับรูปปั้นโบราณอื่นๆ ที่พบในที่อื่น 363 00:25:31,880 --> 00:25:34,640 {\an8}บนเกาะสุลาเวสีในอินโดนีเซีย 364 00:25:34,720 --> 00:25:39,720 {\an8}เราพบรูปปั้นหินขนาดใหญ่อายุ 4,000 ปี ที่อยู่ในท่าทางคล้ายกันจนน่าทึ่ง 365 00:25:40,520 --> 00:25:42,520 {\an8}และตำแหน่งมือก็คล้ายกันด้วย 366 00:25:42,600 --> 00:25:45,400 {\an8}(สุลาเวสี - ราปานูอี) 367 00:25:46,160 --> 00:25:49,040 {\an8}แม้จะอยู่อีกฟากโลก ในประเทศตุรกี 368 00:25:49,120 --> 00:25:52,960 {\an8}รูปปั้นที่รู้จักกันในชื่อเออร์ฟาแมน ซึ่งมีอายุย้อนกลับไปถึงยุคน้ำแข็ง 369 00:25:53,040 --> 00:25:57,120 ก็ทำท่าทางคล้ายคลึงกัน มือของรูปปั้นประสานกันอยู่ที่ท้อง 370 00:26:00,240 --> 00:26:03,960 {\an8}ความคล้ายคลึงหนึ่งที่น่าทึ่งพอๆ กัน ยังพบในตุรกีด้วย 371 00:26:04,040 --> 00:26:07,200 {\an8}ในโกเบคลี เทเป เสาหินขนาดใหญ่หนักสิบตัน 372 00:26:08,160 --> 00:26:12,160 เสาหินเหล่านี้มีอายุ 11,600 ปี 373 00:26:14,760 --> 00:26:19,520 ความคล้ายคลึงที่พบในช่วงเวลาต่างๆ และในสถานที่ต่างๆ 374 00:26:19,600 --> 00:26:22,400 อาจเป็นหลักฐาน ของวัฒนธรรมที่มีบรรพบุรุษร่วมกัน 375 00:26:23,480 --> 00:26:27,160 ที่ส่งต่อแนวคิดเหล่านี้ให้คนรุ่นหลังหรือไม่ 376 00:26:34,120 --> 00:26:37,760 ไม่มีบันทึกใดอธิบายต้นกำเนิดของรูปปั้นเหล่านี้ได้ 377 00:26:39,760 --> 00:26:42,560 แต่ตามตำนานเรื่องเล่าของราปานูอี 378 00:26:42,640 --> 00:26:46,360 นอกจากโมอายจะเป็นอนุสรณ์สถานหิน ขนาดใหญ่แล้ว 379 00:26:47,080 --> 00:26:50,920 มันยังเป็นช่องทางรับพลังศักดิ์สิทธิ์จากบรรพบุรุษ 380 00:26:52,640 --> 00:26:54,720 พลังงานที่เรียกว่ามานา 381 00:26:57,280 --> 00:26:58,840 เล่าเรื่องมานาให้ผมฟังอีกสิครับ 382 00:26:58,920 --> 00:27:00,320 มานาสำคัญมากครับ 383 00:27:00,400 --> 00:27:01,920 มานาคือพลังงาน 384 00:27:02,000 --> 00:27:03,280 ทุกคนมีมานา 385 00:27:03,360 --> 00:27:06,640 หินหรือองค์ประกอบต่างๆ ในจักรวาลมีมานา 386 00:27:06,720 --> 00:27:10,080 งั้นโมอายก็มีมานาเหรอครับ 387 00:27:10,160 --> 00:27:16,160 ครับ เวลามีคนเสียชีวิต ครอบครัวจะตั้งใจทำโมอาย 388 00:27:16,240 --> 00:27:20,920 เพื่อให้วิญญาณ มานา จิตของคนคนนี้เข้าไปในโมอาย 389 00:27:22,440 --> 00:27:26,240 แต่ที่น่าสนใจก็คือ มานาจะเริ่มไหล 390 00:27:26,320 --> 00:27:30,400 หลังจากที่โมอายถูกเอาตั้งไว้ในที่ของมัน และตกแต่งให้สมบูรณ์ 391 00:27:31,280 --> 00:27:34,680 พอโมอายถูกตั้งอย่างปลอดภัยบนแท่น 392 00:27:34,760 --> 00:27:38,680 ตูปูนา บรรพบุรุษน่ะครับ จะเริ่มเจาะรูให้ดวงตาก่อน 393 00:27:38,760 --> 00:27:42,360 ต่อมาพวกเขาจะเอาปะการังมาเป็นตาขาว 394 00:27:42,440 --> 00:27:45,800 บางครั้งก็เอาออบซิเดียนหรือหินอื่นๆ มาเป็นตา 395 00:27:45,880 --> 00:27:48,080 ตอนนี้ โมอายจะไม่ใช่โมอายแล้ว 396 00:27:48,160 --> 00:27:51,360 ตอนนี้มันเป็นอาริงา โอรา โอ เต ตูปูนา ใบหน้าที่มีชีวิตของบรรพบุรุษ 397 00:27:51,440 --> 00:27:53,320 - พอมันมีตาเหรอครับ - พอมันมีตาครับ 398 00:27:53,400 --> 00:27:55,840 และพออยู่บนแท่น หรือที่เรียกว่าอาฮู 399 00:27:55,920 --> 00:27:59,080 โมอายจะมองไปทางหมู่บ้านและปกป้องครอบครัว 400 00:27:59,160 --> 00:28:00,680 นั่นคือหน้าที่ของโมอายครับ 401 00:28:07,960 --> 00:28:11,240 เห็นได้ชัดว่าโมอาย ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวราปานูอี 402 00:28:12,760 --> 00:28:15,600 แต่นั่นแปลว่าพวกเขาเป็นคนแกะสลักโมอาย ตั้งแต่แรกหรือเปล่า 403 00:28:18,360 --> 00:28:21,360 หรือเป็นไปได้ไหมที่โมอายมีอยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้ว 404 00:28:21,920 --> 00:28:24,680 ถ้าใช่ เราก็จำเป็นต้องทบทวนเส้นเวลา 405 00:28:26,560 --> 00:28:28,280 การตั้งถิ่นฐานในราปานูอีใหม่ทั้งหมด 406 00:28:29,440 --> 00:28:32,080 ลองพิจารณาสถานการณ์แบบอื่นกันครับ 407 00:28:32,160 --> 00:28:34,640 เกาะแห่งนี้ถูกสำรวจเป็นครั้งแรก 408 00:28:34,720 --> 00:28:36,720 โดยกลุ่มนักเดินเรือเล็กๆ ที่มีความชำนาญสูง 409 00:28:37,320 --> 00:28:40,240 ย้อนกลับไปในยุคก่อนประวัติศาสตร์ นานกว่าที่เราเชื่อกันตอนนี้ 410 00:28:53,440 --> 00:28:55,120 จากการทดสอบทางพันธุกรรม 411 00:28:55,200 --> 00:28:56,880 เรารู้ว่าชาวราปานูอี 412 00:28:59,200 --> 00:29:02,240 สืบเชื้อสายมาจากนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ ในสมัยโบราณ 413 00:29:02,320 --> 00:29:03,760 นั่นคือชาวพอลินีเซีย 414 00:29:05,600 --> 00:29:10,400 ชาวพอลินีเซียเป็นนักเดินเรือ และนักเดินทะเลที่ก้าวหน้ามาก 415 00:29:10,480 --> 00:29:12,840 พวกเขาตั้งถิ่นฐานในหลายพื้นที่ ของมหาสมุทรแปซิฟิก 416 00:29:12,920 --> 00:29:16,440 ในช่วงการแผ่ขยายของชาวพอลินีเซีย ราว 3,000 ปีก่อน 417 00:29:18,240 --> 00:29:19,280 การหาอายุด้วยคาร์บอน 418 00:29:19,360 --> 00:29:22,240 ในการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ที่เก่าแก่ที่สุดที่นี่ชี้ให้เห็นชัดว่า 419 00:29:22,320 --> 00:29:28,280 ราปานูอีเป็นหนึ่งในเกาะสุดท้ายที่พวกเขา เดินทางมาถึง เมื่อราว 1,100 ปีก่อน 420 00:29:31,400 --> 00:29:32,720 งานวิจัยชิ้นใหม่ชี้ว่า 421 00:29:32,800 --> 00:29:35,520 คนกลุ่มแรกที่มาถึงที่นี่อาจไม่ได้นานขนาดนั้น 422 00:29:35,600 --> 00:29:37,880 แค่ 800 ปีก่อนหรือเร็วกว่านั้นเสียอีก 423 00:29:48,000 --> 00:29:52,480 กระนั้น เศษเสี้ยวตำนานต้นกำเนิด ที่แตกต่างออกไป 424 00:29:52,560 --> 00:29:55,160 ที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกับเส้นเวลาทางโบราณคดี 425 00:29:55,240 --> 00:29:57,240 ได้ถูกเล่าขานกันมาจนถึงปัจจุบัน 426 00:29:57,920 --> 00:30:00,880 ผมได้รับสิทธิพิเศษให้เป็นสักขีพยาน การเฉลิมฉลองนี้ 427 00:30:10,120 --> 00:30:14,320 ตำนานพูดถึงบ้านเกิดดั้งเดิม ของพวกเขาที่ชื่อว่าฮิวา 428 00:30:14,400 --> 00:30:19,400 เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่ถูกทำลายโดยน้ำท่วมโลก บีบให้บรรพบุรุษของพวกเขาต้องหนี 429 00:30:22,200 --> 00:30:25,960 ตามเรื่องราวนี้ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของฮิวา ฮูตู มาตูอา 430 00:30:26,560 --> 00:30:30,760 ได้รับคำเตือนว่าเกาะของเขา จะเจอกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ 431 00:30:30,840 --> 00:30:32,440 และจมอยู่ใต้น้ำตลอดกาล 432 00:30:37,240 --> 00:30:38,560 ด้วยการชี้นำจากนิมิต 433 00:30:38,640 --> 00:30:42,200 เขาส่งชายที่ถูกเลือกเจ็ดคน ให้เอาเรือแคนูออกทะเล 434 00:30:44,360 --> 00:30:47,680 มุ่งหน้าไปทางที่พระอาทิตย์ขึ้น เพื่อหาบ้านใหม่ 435 00:30:49,760 --> 00:30:54,240 หลังจากอยู่ในทะเลหลายสัปดาห์ พวกเขาก็เทียบท่าบนเกาะราปานูอีอย่างปลอดภัย 436 00:30:54,320 --> 00:30:58,680 แล้วฮูตู มาตูอากับคนของเขา หลายร้อยคนก็ตามมา 437 00:30:58,760 --> 00:31:00,960 เพื่อสร้างอารยธรรมขึ้นใหม่ 438 00:31:08,280 --> 00:31:11,560 แปลว่าเรามีตำนานเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ และการออกสำรวจ 439 00:31:11,640 --> 00:31:14,480 เราต้องถามตัวเองว่า "เหตุการณ์แบบนั้นเคยเกิดขึ้นจริงหรือไม่" 440 00:31:15,680 --> 00:31:18,240 คุณต้องย้อนกลับไปยัง จุดสิ้นสุดของยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย 441 00:31:19,000 --> 00:31:23,080 เพื่อหาเหตุการณ์น้ำท่วมแบบที่จมเกาะทั้งเกาะได้ 442 00:31:24,800 --> 00:31:27,680 ชื่อของเกาะที่จมนั้นคือ ฮิวา 443 00:31:27,760 --> 00:31:31,280 ในภาษาราปานูอี แปลว่าดินแดนอันห่างไกล 444 00:31:31,360 --> 00:31:35,040 บ่งบอกว่ามันไม่ใช่ดินแดนที่ชาวพอลินีเซียคุ้นเคย 445 00:31:35,680 --> 00:31:42,000 แต่การมาถึงของกลุ่มเจ็ดคนจากทะเล หลังจากเกิดหายนะครั้งใหญ่นั้น 446 00:31:42,080 --> 00:31:45,320 {\an8}เป็นตำนานที่พบได้ทั่วโลกในสมัยโบราณ 447 00:31:45,800 --> 00:31:47,840 {\an8}ตั้งแต่ตำนานอัฟกาลูในเมโสโปเตเมีย 448 00:31:49,680 --> 00:31:51,600 {\an8}ไปจนถึงตำนานปราชญ์ทั้งเจ็ดของอียิปต์ 449 00:31:51,680 --> 00:31:52,600 {\an8}(อียิปต์) 450 00:31:52,680 --> 00:31:54,240 {\an8}และฤๅษีเจ็ดคนของอินเดีย 451 00:31:54,840 --> 00:31:55,960 {\an8}(อินเดีย) 452 00:31:56,040 --> 00:32:00,080 {\an8}ตำนานเหล่านี้มักพูดถึงกลุ่มผู้รอดชีวิต จากน้ำท่วมกลุ่มเล็กๆ 453 00:32:00,160 --> 00:32:03,760 เดินทางมายังดินแดนห่างไกล ในช่วงเวลาแห่งความโกลาหล 454 00:32:03,840 --> 00:32:06,240 เพื่อทำภารกิจเริ่มต้นอารยธรรมใหม่ 455 00:32:09,040 --> 00:32:11,880 บังเอิญงั้นเหรอ เป็นไปได้ไหมที่ตำนานต้นกำเนิดเหล่านี้ 456 00:32:11,960 --> 00:32:13,560 เป็นความทรงจำจากเหตุการณ์จริง 457 00:32:13,640 --> 00:32:17,080 ที่วัฒนธรรมโบราณหลายแห่งทั่วโลกประสบพบเจอ 458 00:32:23,200 --> 00:32:28,160 ที่สำคัญคือตำนานของฮูตู มาตูอาและฮิวา ไม่ได้ระบุยุคเอาไว้ 459 00:32:33,760 --> 00:32:36,480 นี่ทำให้ผมตั้งคำถามในใจ 460 00:32:36,560 --> 00:32:38,920 เรื่องช่วงเวลาที่มีคนมาตั้งถิ่นฐาน บนเกาะอีสเตอร์เป็นครั้งแรก 461 00:32:40,440 --> 00:32:43,240 ผมไม่ได้แย้งเรื่องการแผ่ขยายของชาวพอลินีเซีย 462 00:32:43,320 --> 00:32:47,080 ผมไม่ได้แย้งว่าชาวเกาะบนเกาะอีสเตอร์ทุกวันนี้ 463 00:32:47,160 --> 00:32:49,640 เป็นชาวพอลินีเซีย 464 00:32:50,480 --> 00:32:53,040 แต่คำถามก็คือเป็นไปได้ไหม ว่ามีการตั้งถิ่นฐานก่อนหน้านั้น 465 00:33:05,200 --> 00:33:09,120 น่าเสียดายที่โมอายเองก็ช่วยตอบคำถามนี้ไม่ได้ 466 00:33:10,880 --> 00:33:15,560 รูปปั้นโมอายถูกแกะสลัก จากหินที่มีเนื้อนุ่ม ที่เรียกว่าหินทัฟฟ์ 467 00:33:16,400 --> 00:33:19,040 มันเป็นเถ้าภูเขาไฟที่กลายเป็นหิน 468 00:33:19,120 --> 00:33:21,400 มันไม่สามารถระบุอายุได้ 469 00:33:22,920 --> 00:33:24,880 เนื่องจากไม่มีหลักฐานโดยตรง 470 00:33:24,960 --> 00:33:27,680 ว่ารูปปั้นหินใหญ่พวกนี้ถูกแกะสลักขึ้นเมื่อไร 471 00:33:28,680 --> 00:33:31,800 นักโบราณคดีจึงพึ่งการหาอายุของสารอินทรีย์ 472 00:33:31,880 --> 00:33:36,080 ที่ฝังอยู่ในแท่นอาฮู ซึ่งเป็นที่ตั้งของโมอายหลายตัว 473 00:33:37,640 --> 00:33:38,720 ตัวอย่างเช่น 474 00:33:38,800 --> 00:33:45,080 อาฮู เนาเนาได้รับการระบุอายุ ว่าเก่าแก่ราว 400 ถึง 900 ปี 475 00:33:45,160 --> 00:33:49,640 (ราว 400 ถึง 900 ปีก่อน) 476 00:33:50,600 --> 00:33:55,080 นักประวัติศาสตร์จึงเชื่อว่า ชาวเกาะเริ่มแกะสลักโมอายในช่วงเวลานี้ 477 00:33:57,720 --> 00:33:59,440 แต่ถ้านั่นเป็นความจริง 478 00:33:59,520 --> 00:34:02,000 แปลว่าหลังจากพวกเขาใช้ชีวีตอย่างเรียบง่าย 479 00:34:02,080 --> 00:34:06,040 โดยไร้เบาะแสการพัฒนาทักษะที่จำเป็น มานานสองสามศตวรรษ 480 00:34:07,000 --> 00:34:10,880 จู่ๆ ชาวราปานูอีก็เริ่มทำโครงการมโหฬารนี้ 481 00:34:12,360 --> 00:34:16,520 ซึ่งดำเนินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งชาวยุโรป มาถึงในอีกไม่กี่สิบปีให้หลัง 482 00:34:18,640 --> 00:34:20,600 แท่นหลายแห่งค่อนข้างหยาบ 483 00:34:20,680 --> 00:34:23,040 แต่ยังใช้งานได้ดีเมื่อเทียบกับรูปปั้น 484 00:34:23,120 --> 00:34:25,280 และเราต้องถามตัวเองว่า 485 00:34:25,360 --> 00:34:29,240 แท่นเหล่านี้มีอายุเท่ากับรูปปั้น ที่ตั้งอยู่ด้านบนหรือเปล่า 486 00:34:29,840 --> 00:34:33,360 หรือเป็นไปได้ไหมที่รูปปั้นพวกนี้ ถูกนำกลับมาตั้งใหม่ 487 00:34:33,440 --> 00:34:35,360 โดยผู้ที่มายังเกาะอีสเตอร์ภายหลัง 488 00:34:35,440 --> 00:34:38,600 ทำให้เราเข้าใจผิดถนัดเรื่องอายุของรูปปั้น 489 00:34:38,680 --> 00:34:40,400 ที่อิงจากแท่นเพียงอย่างเดียว 490 00:34:43,360 --> 00:34:45,400 ยังไงซะ ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา 491 00:34:45,480 --> 00:34:50,160 มีวัตถุทางวัฒนธรรมที่มีค่ามากมาย ถูกย้ายและจัดแสดง 492 00:34:50,240 --> 00:34:51,520 ในที่ตั้งแห่งใหม่ในภายหลัง 493 00:34:52,440 --> 00:34:53,720 {\an8}(เวนิส) 494 00:34:53,800 --> 00:34:57,120 {\an8}ในเวนิส รูปปั้นสี่กษัตริย์ของมหาวิหารซันมาร์โก 495 00:34:57,200 --> 00:35:02,960 {\an8}ถูกแกะสลักในคอนสแตนติโนเปิล ราว 900 ปีก่อนถูกนำมาไว้ที่นี่ 496 00:35:05,520 --> 00:35:08,640 {\an8}และน้ำพุยุคเรอเนซองส์ ที่อยู่หน้าวิหารแพนธีออนในโรม 497 00:35:08,720 --> 00:35:12,760 {\an8}ก็ไม่ได้เก่าแก่ใกล้เคียงกับเสาโอเบลิสก์ อียิปต์โบราณที่มันเป็นฐานให้เลย 498 00:35:15,480 --> 00:35:18,760 รูปปั้นขนาดใหญ่หลายชิ้นเหล่านี้ ถูกย้ายไปมาหลายครั้ง 499 00:35:18,840 --> 00:35:20,440 ถูกเปลี่ยนตำแหน่ง 500 00:35:20,520 --> 00:35:23,160 ผมคิดว่าเราต้องเปิดใจรับความเป็นไปได้ 501 00:35:23,240 --> 00:35:25,480 ที่ว่ารูปปั้นเหล่านี้อาจมีอยู่ก่อนแล้ว 502 00:35:25,560 --> 00:35:28,360 ตอนที่ชาวพอลินีเซียกลุ่มแรกมาถึง 503 00:35:29,680 --> 00:35:33,120 และรูปปั้นเหล่านั้นก็ถูก ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่พวกนี้เอามาปรับใช้ 504 00:35:33,200 --> 00:35:35,360 และเอามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม 505 00:35:37,440 --> 00:35:40,040 หลักฐานสนับสนุนแนวคิดนี้คืออาฮู เนาเนา 506 00:35:40,560 --> 00:35:44,120 ที่ใช้หัวโมอายอีกหัวที่ผุกร่อนมากแล้ว 507 00:35:44,640 --> 00:35:48,200 มาเป็นหนึ่งในหินรองฐาน มันถูกนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อการนี้เลย 508 00:35:55,200 --> 00:35:59,240 อีกข้อบ่งชี้ที่ว่ารูปปั้นโมอาย อาจมีอายุเก่ากว่าที่เราคิด 509 00:35:59,960 --> 00:36:02,200 อาจพบได้ที่ภูเขาไฟที่ดับแล้ว 510 00:36:02,760 --> 00:36:05,880 ที่ที่หินขนาดใหญ่เกือบทุกก้อน ถูกขุดและแกะสลักเป็นครั้งแรก 511 00:36:10,800 --> 00:36:14,400 ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ มีภูเขาไฟที่ดับแล้ว 512 00:36:14,480 --> 00:36:16,120 ชื่อราโนราราคู 513 00:36:17,480 --> 00:36:19,760 มันเป็นภูเขาโดดเด่นที่ตั้งอยู่บนภูมิประเทศ 514 00:36:22,600 --> 00:36:27,840 และที่เนินเขาก็มีซากโมอาย หลายร้อยตัวที่สร้างไม่เสร็จ 515 00:36:29,280 --> 00:36:32,720 มันเป็นหนึ่งในสถานที่ ลึกลับที่สุดในโลกจริงๆ ครับ 516 00:36:39,600 --> 00:36:43,000 มีโมอายเกือบ 400 ตัว กระจัดกระจายอยู่รอบภูเขาไฟ… 517 00:36:48,080 --> 00:36:50,080 โดยสร้างใกล้เสร็จบ้าง ไม่เสร็จบ้าง 518 00:37:02,560 --> 00:37:05,360 หลายตัวมีแค่ส่วนหัวโผล่ขึ้นเหนือพื้นดิน 519 00:37:05,440 --> 00:37:08,560 ส่วนลำตัวม่อต้อฝังอยู่ในตะกอนลึก 520 00:37:10,840 --> 00:37:17,160 ตะกอนนี้อาจเกิดจากดินถล่ม โคลนถล่ม หรือแม้แต่สึนามิ 521 00:37:20,600 --> 00:37:25,480 แต่แม้ว่าพวกมันจะเอียงนิดหน่อย รูปปั้นส่วนใหญ่ยังคงตั้งขึ้น 522 00:37:25,560 --> 00:37:27,120 ไม่ได้ล้มระเนระนาด 523 00:37:27,200 --> 00:37:30,240 อย่างที่คุณคงคิด หากมันล้มเพราะเหตุการณ์ที่ว่ามา 524 00:37:32,640 --> 00:37:34,560 แล้วมันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่ 525 00:37:36,200 --> 00:37:39,440 เป็นเวลาหลายศตวรรษ ที่ตะกอนปกปิดหลักฐานเอาไว้ 526 00:37:41,040 --> 00:37:45,760 จนกระทั่งปี 1914 เมื่อนักโบราณคดีเริ่มทำการขุดค้น 527 00:37:47,240 --> 00:37:49,000 อย่างที่เห็นในรูปนี้ 528 00:37:49,080 --> 00:37:53,000 โมอายบางตัวมีมากกว่าแค่ส่วนหัวกับไหล่ 529 00:37:53,080 --> 00:37:56,760 มันมีลำตัวทั้งส่วนที่ฝังลึกอยู่ในเนินเขา 530 00:38:00,120 --> 00:38:04,120 การค้นพบนี้ถูกเปิดเผยให้โลกได้เห็น ในช่วงปี 1950 531 00:38:04,200 --> 00:38:07,080 โดยธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล นักชาติพันธุ์วิทยาที่มีชื่อเสียง 532 00:38:11,200 --> 00:38:13,720 ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ลเป็นบุคคลที่น่าทึ่งมาก 533 00:38:13,800 --> 00:38:16,680 ผมโชคดีที่ได้พบเขามากกว่าหนึ่งครั้ง 534 00:38:17,640 --> 00:38:19,840 เขากล้าท้าทายขนบธรรมเนียมเดิม 535 00:38:19,920 --> 00:38:22,800 เขาเชื่อมั่นว่ามีชิ้นส่วนที่หาย 536 00:38:22,880 --> 00:38:24,760 ในเรื่องราวอดีตของพวกเรา 537 00:38:24,840 --> 00:38:28,960 และเขาพยายามให้เราเห็นว่า ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ 538 00:38:29,040 --> 00:38:32,120 มนุษย์โบราณมีความสามารถในการบรรลุ 539 00:38:32,200 --> 00:38:35,760 ในสิ่งที่เรามักคิดว่าเป็นฝีมือคนยุคหลังๆ มากกว่า 540 00:38:37,560 --> 00:38:40,560 เช่นโครงการสร้างโมอายที่ลึกลับนี้ 541 00:38:42,120 --> 00:38:43,240 นักโบราณคดีบอกเราว่า 542 00:38:43,320 --> 00:38:47,040 โมอายตัวสุดท้ายถูกแกะสลักราว 400 ปีก่อน 543 00:38:47,640 --> 00:38:51,320 แต่มันดูไม่น่าเป็นไปได้ที่เกาะเล็กๆ แบบนี้ 544 00:38:51,880 --> 00:38:55,440 จะมีการทับถมตะกอนหนาขนาดนั้น 545 00:38:55,520 --> 00:38:57,960 ในระยะเวลาสั้นแค่นั้น 546 00:38:59,880 --> 00:39:03,160 ไม่มีหลักฐานว่าโมอายพวกนี้ ถูกนำไปฝังอย่างจงใจ 547 00:39:04,200 --> 00:39:06,280 ถ้างั้นมันมีคำบรรยายอื่นไหม 548 00:39:09,160 --> 00:39:11,760 เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่เราเห็นคือผลลัพธ์สุดท้าย 549 00:39:11,840 --> 00:39:13,560 ของกระบวนการทับถมของตะกอน 550 00:39:13,640 --> 00:39:17,120 ที่ใช้เวลาไม่เพียงหลายร้อยปี แต่เป็นพันๆ ปีเลย 551 00:39:19,640 --> 00:39:21,560 ปัญหาของทฤษฎีนั้นน่ะเหรอ 552 00:39:21,640 --> 00:39:25,320 ไม่มีหลักฐานการอาศัยอยู่ของมนุษย์ ที่ย้อนกลับไปไกลขนาดนั้นน่ะสิ 553 00:39:26,800 --> 00:39:27,840 หรือว่าจะมีกันนะ 554 00:40:03,960 --> 00:40:06,040 {\an8}คำบรรยายโดย มนัสวี ศักดิษฐานนท์