1 00:00:15,200 --> 00:00:18,440 อายาวัสกาเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ ทางวิทยาศาสตร์ของแอมะซอน 2 00:00:20,040 --> 00:00:21,960 เป็นยาต้มที่ทรงพลังและทำให้เห็นภาพหลอน 3 00:00:23,440 --> 00:00:27,760 ซึ่งมีความสำคัญต่อจิตวิญญาณของชนพื้นเมือง และถูกกฎหมายในเปรู 4 00:00:29,160 --> 00:00:34,040 ผมเองก็มีประสบการณ์มากมายกับอายาวัสกา โดยอยู่ในการชี้นำของหมอผี 5 00:00:35,880 --> 00:00:39,400 และผมเชื่อว่าผู้คนใช้มันมานาน กว่าที่ใครจะคิดเสียอีก 6 00:00:40,040 --> 00:00:42,720 โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงงานศิลปะ ที่มีอายาวัสกาเป็นตัวกระตุ้น 7 00:00:45,720 --> 00:00:47,640 มีนิมิตที่น่าทึ่งมากมาย 8 00:00:47,720 --> 00:00:49,280 จากเก้าในสิบครั้ง 9 00:00:49,360 --> 00:00:51,880 นิมิตเหล่านั้นจะเริ่มต้นด้วย การเห็นลวดลายเรขาคณิต 10 00:00:53,360 --> 00:00:55,400 และหลังจากเห็นนิมิตลวดลายเรขาคณิต 11 00:00:55,480 --> 00:00:58,680 หลายคนรายงานว่า พวกเขาได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์ 12 00:01:00,360 --> 00:01:05,680 บางครั้งสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ก็อาจเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ 13 00:01:05,760 --> 00:01:08,320 ที่เรียกว่า "ธีเรียนโธรป" มาจากภาษากรีก 14 00:01:08,400 --> 00:01:11,160 "ธีเรียน" หมายถึงสัตว์ป่า และ "แอนโธรพอส" หมายถึงมนุษย์ 15 00:01:11,240 --> 00:01:13,440 สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นสิ่งที่พบเจอบ่อยมาก 16 00:01:14,880 --> 00:01:18,240 สิ่งที่ทำให้ผมสนใจคือหลักฐานการใช้อายาวัสกา 17 00:01:18,320 --> 00:01:20,600 และนิมิตที่ได้อายาวัสกาเป็นตัวกระตุ้น 18 00:01:20,680 --> 00:01:22,680 พบได้ไม่เพียงแค่ในแอมะซอน 19 00:01:22,760 --> 00:01:26,680 แต่ยังพบในสถานที่โบราณหลายแห่ง ที่ผมเคยสำรวจในอเมริกาใต้ด้วย 20 00:01:29,280 --> 00:01:33,400 {\an8}ในกุสโก ชาวอินคาใช้ยาต้มนี้ ระหว่างทำพิธีบูชายัญมนุษย์ 21 00:01:34,080 --> 00:01:36,960 เพื่อช่วยให้เหยื่อผ่านสู่ชีวิตหลังความตาย 22 00:01:38,360 --> 00:01:41,160 และงานศิลปะที่เต็มไปด้วยลวดลาย และรูปร่างต่างๆ ของพวกเขา 23 00:01:41,240 --> 00:01:44,960 ก็คล้ายคลึงมากกับงานศิลปะร่วมสมัย ที่ได้รับอิทธิพลจากอายาวัสกา 24 00:01:45,520 --> 00:01:46,840 {\an8}(ตีวานากู โบลีเวีย) 25 00:01:46,920 --> 00:01:49,360 {\an8}ที่โบราณสถานก่อนยุคอินคาในตีวานากู โบลิเวีย 26 00:01:49,960 --> 00:01:53,800 นักวิจัยระบุว่าสิ่งที่รูปปั้นอายุ 1,500 ปีตัวนี้ถืออยู่ 27 00:01:54,720 --> 00:01:57,680 คือถาดสูดยาผงที่มีฤทธิ์หลอนประสาท 28 00:01:59,120 --> 00:02:02,600 และเครื่องปั้นดินเผาของตีวานากูจำนวนมาก ก็มีลวดลายเรขาคณิต 29 00:02:02,680 --> 00:02:04,400 และสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาด 30 00:02:04,480 --> 00:02:06,640 ที่เหมือนจะมาจากนิมิตที่เกิดจากยาหลอนประสาท 31 00:02:08,600 --> 00:02:13,120 คุณจะเห็นลวดลายคล้ายกันนี้ อยู่ในงานศิลปะดั้งเดิมของแอมะซอนด้วย 32 00:02:15,880 --> 00:02:18,400 นี่ทำให้นึกถึงชาวตูกาโนเลยครับ 33 00:02:18,920 --> 00:02:21,880 พวกเขามักวาดรูปลงบนวัตถุที่เสื่อมสภาพได้ง่าย 34 00:02:23,080 --> 00:02:26,880 ภาพวาด ผนังบ้านมาลอกา หรือบ้านชุมชน 35 00:02:26,960 --> 00:02:28,840 {\an8}คุณจะเห็นว่ามีความต่อเนื่องกันตรงนี้ 36 00:02:31,000 --> 00:02:35,360 จำตำนานต้นกำเนิดของชนเผ่าตูกาโน ที่พูดถึงครูผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขา 37 00:02:35,440 --> 00:02:37,800 ธิดาแห่งดวงอาทิตย์และพวกพ้องของนางได้ไหม 38 00:02:39,520 --> 00:02:42,200 จุดที่น่าสนใจก็คือตำนานไม่ได้จบลง 39 00:02:42,280 --> 00:02:45,760 ตอนวีรบุรุษทางอารยธรรมที่ลึกลับพวกนั้นจากไป 40 00:02:47,800 --> 00:02:49,080 ตามตำนาน 41 00:02:49,160 --> 00:02:52,240 หลังจากทำให้ดินแดนนี้รองรับผู้มาใหม่ได้แล้ว 42 00:02:52,320 --> 00:02:55,760 ทวยเทพเหล่านั้นได้ทิ้งช่องทางการติดต่อเอาไว้ 43 00:02:55,840 --> 00:02:58,360 ให้มนุษย์ใช้เมื่อไรก็ตามที่จำเป็น 44 00:02:58,920 --> 00:03:02,880 ช่องทางนั้นคือยาต้มที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ ในชื่ออายาวัสกา 45 00:03:05,560 --> 00:03:10,040 คำว่าอายาวัสกาแปลว่า "เถาวัลย์แห่งวิญญาณ" ในภาษาเคชัว ซึ่งเป็นภาษาของชาวอินคา 46 00:03:11,160 --> 00:03:14,000 แต่ผมเชื่อว่ามีการใช้มันมาก่อนยุคอินคามากๆ 47 00:03:14,760 --> 00:03:16,120 นี่คือจุดที่ 48 00:03:16,200 --> 00:03:19,600 ศิลปะบนหินโบราณพวกนี้ดูน่าสนใจ 49 00:03:20,120 --> 00:03:21,960 {\an8}(เซร์รานีอา เด ลา ลินโดซา โคลอมเบีย) 50 00:03:22,040 --> 00:03:24,560 {\an8}ภาพวาดบนหินพวกนี้มาจากพื้นที่หนึ่งในแอมะซอน 51 00:03:24,640 --> 00:03:26,680 {\an8}ที่ชนเผ่าตูกาโนอาศัยอยู่ในปัจจุบัน 52 00:03:26,760 --> 00:03:31,200 มันวาดธีมเดียวกับที่เราเห็นในงานศิลปะทุกชิ้น ที่ได้รับอิทธิพลจากอายาวัสกา 53 00:03:32,360 --> 00:03:38,240 ผมอดสังเกตไม่ได้ว่ามันมีลวดลาย ที่คล้ายคลึงและเชื่อมโยงกัน 54 00:03:38,320 --> 00:03:40,400 เราเห็นภาพสิ่งมีชีวิตธีเรียนโธรปิก 55 00:03:40,480 --> 00:03:42,920 หรือสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว์ 56 00:03:43,000 --> 00:03:43,880 แบบตัวนี้เหรอครับ 57 00:03:45,080 --> 00:03:47,200 เราเห็นลวดลายเรขาคณิต 58 00:03:47,720 --> 00:03:49,040 เห็นงู 59 00:03:49,120 --> 00:03:50,880 ผมว่านี่คือปริศนาที่ไม่ธรรมดาเลย 60 00:03:50,960 --> 00:03:54,520 การที่ธีมเดิมๆ นี้ปรากฏขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า 61 00:03:56,600 --> 00:04:01,480 และที่สำคัญคือไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ภาพเหล่านี้ถูกวาดขึ้นช่วงยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย 62 00:04:05,600 --> 00:04:10,520 มันชี้ให้เห็นว่าอาจมีการใช้อายาวัสกา มาตั้งแต่เกือบ 13,000 ปีก่อน 63 00:04:10,600 --> 00:04:12,920 นี่เป็นการอนุมานที่สมเหตุสมผล ที่ได้จากการดูงานศิลปะ 64 00:04:13,000 --> 00:04:14,200 ถูกต้องเลยครับ 65 00:04:17,080 --> 00:04:20,400 ถ้าเป็นจริง ข้อมูลนี้ก็น่าตกใจมาก 66 00:04:23,560 --> 00:04:26,840 มันแปลว่าชาวแอมะซอนยุคโบราณอาจเข้าใจ 67 00:04:26,920 --> 00:04:29,080 สารเคมีที่ซับซ้อนของอายาวัสกา 68 00:04:30,960 --> 00:04:32,560 มาตั้งแต่ยุคน้ำแข็งเลย 69 00:04:45,120 --> 00:04:48,960 {\an8}(หายนะอารยะธรรมโบราณ อเมริกา) 70 00:04:49,040 --> 00:04:51,640 {\an8}(ตอนที่ห้า) 71 00:04:55,000 --> 00:04:58,080 ลวดลายเรขาคณิตและลวดลายก้นหอย 72 00:04:58,920 --> 00:05:02,400 เป็นหนึ่งในแง่มุมที่น่าทึ่งที่สุด ที่เกิดจากการใช้ยาหลอนประสาท 73 00:05:04,280 --> 00:05:08,080 นิมิตเรขาคณิตเหล่านี้ อาจอธิบายปริศนาอีกข้อที่เราได้พบ 74 00:05:08,160 --> 00:05:11,240 ตั้งแต่ที่เราเริ่มต้นสำรวจทวีปอเมริกา 75 00:05:13,880 --> 00:05:16,640 {\an8}จีโอกลิฟขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นจากป่า 76 00:05:16,720 --> 00:05:19,160 {\an8}ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของแอมะซอน 77 00:05:20,880 --> 00:05:24,600 ผมประหลาดใจกับแนวคิด การใช้รูปเรขาคณิตซ้ำๆ นี่ 78 00:05:24,680 --> 00:05:27,680 ที่เราพบครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะเป็นในศิลปะสมัยใหม่ 79 00:05:27,760 --> 00:05:30,480 หรือศิลปะอายุ 13,000 ปี เราพบมันที่นี่ด้วย 80 00:05:30,560 --> 00:05:34,080 จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเนินดินรูปเรขาคณิตพวกนี้ 81 00:05:34,160 --> 00:05:36,240 อาจได้รับอิทธิพลจากอายาวัสกาด้วย 82 00:05:36,320 --> 00:05:40,400 ครับ อาจเป็นอายาวัสกา หรือพืชที่ให้ภาพหลอนชนิดอื่น 83 00:05:40,480 --> 00:05:42,280 เพราะมีพืชมากมายเลย 84 00:05:42,360 --> 00:05:48,120 เบื้องหลังทุกวัฒนธรรม คุณจะพบพืชที่ให้ภาพหลอนบางชนิด 85 00:05:50,560 --> 00:05:57,360 จีโอกลิฟเหล่านี้ดูเหมือนเป็นการ พยายามสร้างให้เป็นรูปแบบสามมิติ 86 00:05:57,440 --> 00:06:01,800 ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งสอดคล้องกับประเภทของนิมิต 87 00:06:01,880 --> 00:06:06,280 ที่เกิดจากการใช้สารอย่างอายาวัสกา 88 00:06:06,360 --> 00:06:10,040 เพราะสิ่งแรกที่คนเห็นหลังรับอายาวัสกาเข้าไป ก็คือลวดลายเรขาคณิต 89 00:06:12,640 --> 00:06:15,960 ผมว่าเรากำลังมองดูการแสดงออก ที่เกิดจากแรงกระตุ้นเดียวกัน 90 00:06:16,040 --> 00:06:17,200 ที่ถ่ายทอดลงบนวัตถุต่างๆ 91 00:06:19,960 --> 00:06:23,920 แล้วถ้าจีโอกลิฟในแอมะซอน ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิมิตจริง 92 00:06:24,680 --> 00:06:28,800 เราต้องถามว่าความบันดาลใจนั้น อาจเกิดขึ้นที่อื่นด้วยหรือไม่ 93 00:06:29,560 --> 00:06:31,560 เพราะมีเหตุผลสำคัญประการหนึ่ง 94 00:06:32,360 --> 00:06:37,200 เนินดินเรขาคณิตพวกนี้คล้ายคลึงมาก กับเนินดินรูปเรขาคณิต 95 00:06:37,280 --> 00:06:40,840 {\an8}ที่พบในอเมริกาเหนือ ในรัฐโอไฮโอ 96 00:06:40,920 --> 00:06:42,000 {\an8}(โอไฮโอ สหรัฐอเมริกา) 97 00:06:43,160 --> 00:06:46,160 พวกมันถูกเรียกว่า เนินดินโฮปเวลล์เซเรโมเนียล 98 00:06:46,240 --> 00:06:50,240 เชื่อว่าเป็นผลงานของอารยธรรมที่ปัจจุบัน รู้จักในชื่อวัฒนธรรมโฮปเวลล์ 99 00:06:51,040 --> 00:06:55,000 ที่เจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเกรตเลกส์ เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน 100 00:06:55,080 --> 00:06:59,440 คูน้ำและเนินดินขนาดใหญ่ ที่ทำเป็นรูปเรขาคณิตได้อย่างเที่ยงตรง 101 00:07:00,560 --> 00:07:04,000 คุณสามารถสลับเนินดินของแอมะซอน กับเนินดินของโอไฮโอ 102 00:07:04,080 --> 00:07:07,360 หรือเนินดินของโอไฮโอ กับเนินดินของแอมะซอนได้เลย 103 00:07:09,200 --> 00:07:13,640 ทั้งที่มันดูเหมือนถูกสร้างขึ้น โดยวัฒนธรรมที่ไม่มีความเชื่อมโยงกันเลย 104 00:07:14,520 --> 00:07:20,000 ตรงนี้แหละที่ผมไม่สามารถยอมรับได้ว่า มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ 105 00:07:20,080 --> 00:07:24,000 ผมคิดว่าเวลาที่เราเห็นแนวคิดหนึ่ง โผล่ขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า 106 00:07:24,080 --> 00:07:26,720 ตามสถานที่ที่ห่างไกลกันมา 107 00:07:26,800 --> 00:07:28,560 {\an8}(ภูมิภาคอาเกร บราซิล โอไฮโอ สหรัฐอเมริกา) 108 00:07:28,640 --> 00:07:31,520 {\an8}สิ่งที่เรากำลังมองดูอยู่คือมรดกทางแนวคิด 109 00:07:31,600 --> 00:07:35,880 {\an8}ที่สืบทอดกันมาและแสดงออก ในช่วงยุคเวลาต่างๆ 110 00:07:35,960 --> 00:07:39,160 {\an8}แต่ว่าสิ่งที่เป็นของโบราณจริงๆ ก็คือแนวคิดนั้น 111 00:07:39,240 --> 00:07:42,360 ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งก่อสร้างที่เรากำลังดูอยู่ 112 00:07:44,760 --> 00:07:49,160 สิ่งที่ไม่เหมือนกับเนินดินในแอมะซอน ที่เพิ่งถูกศึกษา 113 00:07:51,280 --> 00:07:55,080 ก็คือเนินดินในโอไฮโอ ถูกศึกษามานานกว่าศตวรรษแล้ว 114 00:07:56,000 --> 00:08:00,200 และเราก็รู้ว่ามันเป็นมากกว่า รูปเรขาคณิตที่น่าสนใจ 115 00:08:02,840 --> 00:08:06,640 เนินดินหลายแห่งในโอไฮโอ รวมถึงเนินพญานาคที่อยู่ใกล้ๆ กัน 116 00:08:07,240 --> 00:08:11,880 มีการจัดวางตำแหน่ง ให้ตรงกับปรากฏการณ์อายันและวิษุวัต 117 00:08:13,920 --> 00:08:16,160 แต่ที่น่าทึ่งคือ ในบางที่ 118 00:08:16,240 --> 00:08:18,000 เนินดินเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นให้สอดคล้อง 119 00:08:18,080 --> 00:08:21,000 กับวงจรของดวงจันทร์ที่ซับซ้อนมากกว่า 120 00:08:22,600 --> 00:08:26,280 มันเป็นหนึ่งในความอยากรู้ของคนยุคโบราณ 121 00:08:26,360 --> 00:08:33,200 พวกเขาสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้ามากๆ 122 00:08:35,360 --> 00:08:38,320 ผลงานน่าทึ่งที่เกิดจากการสังเกตการณ์ ทางดาราศาสตร์เหล่านี้ 123 00:08:38,400 --> 00:08:41,680 ถูกสร้างขึ้นโดยชาวอเมริกันโบราณ เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน 124 00:08:43,080 --> 00:08:44,520 หรืออาจนานก่อนหน้านั้นมาก 125 00:08:45,960 --> 00:08:49,560 และยังพบได้ในเนินดินในที่อื่นๆ ของทวีปอเมริกาเหนือด้วย 126 00:08:51,120 --> 00:08:53,720 {\an8}ที่โบราณสถานคาโฮเกียที่มีอายุ 1,000 ปี 127 00:08:53,800 --> 00:08:54,800 {\an8}(คาโฮเกีย อิลลินอยส์) 128 00:08:55,400 --> 00:08:57,840 {\an8}และโพเวอร์ตี พอยต์ที่มีอายุ 3,000 ปี 129 00:08:59,160 --> 00:09:02,800 มันถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจให้อยู่ทางเหนือ ของโบราณสถานอีกแห่งหนึ่ง 130 00:09:03,920 --> 00:09:07,640 {\an8}เนินโลเวอร์แจ็คสัน ซึ่งมีอายุย้อนไปถึง 5,000 ปี 131 00:09:07,720 --> 00:09:09,200 {\an8}(เนินโลเวอร์แจ็คสัน ลุยเซียน่า) 132 00:09:10,040 --> 00:09:12,800 ใครจะรู้ว่ามีความรู้ทางดาราศาสตร์ใด ที่อาจซ่อนอยู่ 133 00:09:12,880 --> 00:09:14,520 และรอคอยให้ถูกค้นพบ 134 00:09:14,600 --> 00:09:17,640 ในจีโอกลิฟของแอมะซอนที่เพิ่งถูกค้นพบ 135 00:09:18,720 --> 00:09:22,000 เรารู้ว่ามีมนุษย์อยู่ในอเมริกามาหลายหมื่นปี 136 00:09:22,080 --> 00:09:25,680 เราควรเปิดใจรับความเป็นไปได้ ที่ว่าพวกเขามีเวลาถมถืด 137 00:09:25,760 --> 00:09:29,280 ให้พัฒนาวัฒนธรรม พัฒนาความรู้เกี่ยวกับท้องฟ้าที่ซับซ้อน 138 00:09:29,360 --> 00:09:31,480 และแสดงออกมาในรูปของอนุสรณ์สถาน 139 00:09:33,280 --> 00:09:36,600 เป็นไปได้ไหมที่ความรู้ทางดาราศาสตร์ ที่ละเอียดลึกซึ้งนี้ เป็นหลักฐานที่ว่า 140 00:09:36,680 --> 00:09:39,640 อารยธรรมยุคน้ำแข็งที่สูญหายไปที่ผมกำลังตามหา 141 00:09:39,720 --> 00:09:44,040 ได้ทิ้งมรดกทางแนวคิด ไว้ในพื้นที่อื่นๆ ของอเมริกาเหนือด้วย 142 00:09:53,960 --> 00:09:56,120 ห่างจากโอไฮโอ 2,092 กิโลเมตร 143 00:10:02,240 --> 00:10:04,520 ในมุมตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐนิวเม็กซิโก 144 00:10:05,320 --> 00:10:08,000 ผมมาถึงทะเลทรายบนพื้นที่สูงอันหนาวเหน็บ 145 00:10:08,960 --> 00:10:11,760 เรียงรายไปด้วยเนินเมซา และเนินยอดป้านสูงตระหง่าน 146 00:10:13,840 --> 00:10:16,680 ภูมิประเทศแบดแลนด์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา 147 00:10:16,760 --> 00:10:20,240 เป็นดินแดนแห่งความสุดขั้ว และทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ 148 00:10:20,840 --> 00:10:22,960 มีแคนยอนโบราณตัดผ่าน 149 00:10:23,040 --> 00:10:26,160 และมีหน้าผาหินทราย ที่ชันจนเกือบตั้งฉากอยู่ทั้งสองฝั่ง 150 00:10:30,520 --> 00:10:34,280 คุณอาจคิดว่าแบดแลนด์อันรกร้างว่างเปล่าแห่งนี้ 151 00:10:34,360 --> 00:10:38,240 ไม่เหมาะให้มาทำโครงการก่อสร้าง ขนาดใหญ่ใดๆ ทั้งนั้น 152 00:10:38,320 --> 00:10:40,480 ไม่ว่าจะตอนนี้ หรือในสมัยโบราณ 153 00:10:41,360 --> 00:10:42,720 แต่คุณคิดผิดแล้ว 154 00:10:44,280 --> 00:10:48,320 แคนยอนนี้เป็นที่ตั้งของ หนึ่งในแหล่งโบราณคดีที่สำคัญที่สุด 155 00:10:48,400 --> 00:10:49,280 ในอเมริกาเหนือ 156 00:10:52,320 --> 00:10:56,200 สิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นในสมัยโบราณ นับสิบๆ แห่งกระจัดกระจาย 157 00:10:56,280 --> 00:10:57,920 ทั่วพื้นหุบเขาไปหลายกิโลเมตร 158 00:10:59,080 --> 00:11:01,080 มีตั้งแต่โถงเล็กๆ ที่แยกอยู่โดดเดี่ยว 159 00:11:02,440 --> 00:11:05,440 ไปจนถึงสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่เรียกกันว่าเกรตเฮาส์ 160 00:11:07,440 --> 00:11:09,960 นี่คือชาโกแคนยอน 161 00:11:10,640 --> 00:11:14,880 (ชาโกแคนยอน นิวเม็กซิโก) 162 00:11:17,280 --> 00:11:19,760 แม้จะมีการวิจัยมานานกว่าศตวรรษ 163 00:11:21,080 --> 00:11:25,880 สิ่งก่อสร้างโบราณที่เราเห็นในชาโกแคนยอน ก็ยังคงเป็นปริศนา 164 00:11:26,920 --> 00:11:31,200 ต้นกำเนิดและแม้แต่หน้าที่ของมัน ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างร้อนแรง 165 00:11:36,680 --> 00:11:40,520 ที่ใจกลางของความลึกลับนี้ ณ ศูนย์กลางของแคนยอน 166 00:11:44,200 --> 00:11:47,480 คือเกรตเฮาส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาทั้งหมด 167 00:11:52,360 --> 00:11:56,200 ที่นี่มีชื่อว่าปวยโบล โบนิโต แปลว่า "เมืองที่สวยงาม" 168 00:11:59,760 --> 00:12:02,040 มันมีความสูงหลายชั้น 169 00:12:03,080 --> 00:12:07,160 เป็นเขาวงกตของห้องมากมาย ทางเดินต่างๆ 170 00:12:09,000 --> 00:12:12,720 และพื้นที่วงกลมกึ่งใต้ดินขนาดใหญ่ ที่มีกำแพงล้อมรอบ 171 00:12:14,760 --> 00:12:18,120 แม้แต่ในปัจจุบัน แม้ที่นี่จะหยุดสร้างมาหลายศตวรรษแล้ว 172 00:12:18,200 --> 00:12:20,000 มันก็ยังคงดึงดูดสายตาอย่างแรง 173 00:12:22,080 --> 00:12:25,600 ปวยโบล โบนิโต เป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ยักษ์ 174 00:12:27,520 --> 00:12:29,840 ห้องนับร้อยๆ ได้ถูกทำแผนที่ไว้ 175 00:12:32,160 --> 00:12:37,000 หลายห้องถูกสร้างขึ้นอย่างน่าฉงน โดยไม่มีทางเข้าออกที่ชัดเจน 176 00:12:39,880 --> 00:12:42,400 นักโบราณคดีศึกษาที่นี่มาหลายทศวรรษ 177 00:12:42,480 --> 00:12:44,560 และค้นพบเรื่องสำคัญมากมาย 178 00:12:45,720 --> 00:12:48,160 แต่มันก็ยังคงเป็นปริศนาที่ยากต่อการตีความ 179 00:12:52,160 --> 00:12:54,680 แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราค่อนข้างแน่ใจได้ 180 00:12:54,760 --> 00:12:57,880 ก็คือปวยโบล โบนิโตจะดูเป็นเช่นไร ในยุคที่มันเจริญรุ่งเรือง 181 00:13:01,040 --> 00:13:03,680 สิ่งก่อสร้างทั้งหมดเป็นรูปครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ 182 00:13:04,320 --> 00:13:07,520 มีกำแพงหันเข้าหาพื้นแคนยอน 183 00:13:08,640 --> 00:13:13,200 ห้องสี่เหลี่ยมถูกสร้างเรียงตามความโค้ง และมีความสูงถึงสี่ชั้น 184 00:13:15,760 --> 00:13:18,160 ทำให้เกิดห้องมากถึง 800 ห้อง 185 00:13:18,680 --> 00:13:22,400 ทั้งหมดนั้นล้อมรอบลานกว้าง ที่ถูกแบ่งด้วยกำแพงตรงกลาง 186 00:13:23,000 --> 00:13:27,320 และมีสิ่งก่อสร้างรูปวงกลม กึ่งใต้ดินหลายแห่งอยู่ทั้งสองด้าน 187 00:13:30,880 --> 00:13:33,000 แล้วใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา 188 00:13:33,080 --> 00:13:36,360 และทำไมพวกเขาถึงทุ่มเทขนาดนี้ 189 00:13:36,440 --> 00:13:39,200 เพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างน่าทึ่งนี่ 190 00:13:43,440 --> 00:13:46,320 {\an8}นาธาน แฮตฟิลด์ ผู้ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ 191 00:13:46,400 --> 00:13:49,400 {\an8}ให้เป็นหัวหน้าแผนกตีความชาโกแคนยอน 192 00:13:49,480 --> 00:13:52,160 ใช้เวลาเกือบทศวรรษศึกษาสิ่งก่อสร้างที่นี่ 193 00:13:56,240 --> 00:13:58,440 เล่าเรื่องที่ที่เรายืนอยู่นี่ให้ฟังหน่อยครับ 194 00:13:59,120 --> 00:14:03,200 นี่เคยเป็นสิ่งปลูกสร้างใหญ่ที่สุด ในทวีปอเมริกาเหนือครับ 195 00:14:03,280 --> 00:14:06,360 จนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 19 196 00:14:09,440 --> 00:14:12,640 นักโบราณคดีไม่สามารถหาอายุคาร์บอนของหินได้ 197 00:14:13,920 --> 00:14:18,560 แต่ด้วยการใช้การหาอายุ ด้วยวิธีนับวงปีของคานไม้ที่แม่นยำ 198 00:14:18,640 --> 00:14:22,080 พวกเขาก็สามารถระบุช่วงเวลาต่างๆ ที่มีการก่อสร้างได้ 199 00:14:24,080 --> 00:14:26,520 ที่นี่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นรวดเดียวเสร็จ 200 00:14:26,600 --> 00:14:29,800 แต่มันถูกสร้างลากยาวสองสามศตวรรษเลย 201 00:14:29,880 --> 00:14:32,680 ถ้าเรามองดูส่วนที่เก่าแก่ที่สุด ของปวยโบล โบนิโต 202 00:14:32,760 --> 00:14:34,880 เรากำลังพูดถึงช่วงเวลาไหนครับ 203 00:14:34,960 --> 00:14:37,240 มันเริ่มถูกสร้างขึ้นประมาณปี 850 ครับ 204 00:14:37,840 --> 00:14:39,720 - ปีค.ศ. 850 เหรอครับ - ใช่ครับ 205 00:14:39,800 --> 00:14:40,640 ครับ 206 00:14:41,160 --> 00:14:47,360 การก่อสร้างลากยาวต่อเนื่องอย่างน้อย 200 ปี อาจนานกว่านั้นนิดหน่อย 207 00:14:48,000 --> 00:14:51,800 นั่นคือก่อนที่ชนเผ่าปวยโบลยุคใหม่ จะมาตั้งรกรากในพื้นที่แห่งนี้ 208 00:14:52,440 --> 00:14:53,880 (ราว 850-1,150 ปีก่อน) 209 00:14:53,960 --> 00:14:56,680 เช่นชนเผ่าโฮปี ซูนี และอะโคมา 210 00:14:59,880 --> 00:15:05,040 ปวยโบล โบนิโตถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มคน ที่เราเรียกว่าชาวบรรพบุรุษปวยโบล 211 00:15:05,120 --> 00:15:06,880 - เราก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม - ครับ 212 00:15:06,960 --> 00:15:12,040 แต่พวกเขาเลือกชาโกแคนยอน ให้เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม 213 00:15:12,840 --> 00:15:17,520 และปวยโบล โบนิโต ก็กลายเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่ที่สุด 214 00:15:17,600 --> 00:15:19,520 ในศูนย์กลางวัฒนธรรมแห่งนี้ 215 00:15:21,280 --> 00:15:24,600 ศูนย์กลางวัฒนธรรม ที่นอกจากจะมีปวยโบล โบนิโตแล้ว 216 00:15:24,680 --> 00:15:27,360 ยังมีเกรตเฮาส์อื่นๆ อีกหลายสิบแห่ง 217 00:15:29,400 --> 00:15:34,080 ทำไมพวกเขาถึงสร้าง สิ่งก่อสร้างพวกนี้ที่ชาโกแคนยอน 218 00:15:35,760 --> 00:15:39,640 ที่นี่มีประชากรอาศัยอยู่ถาวรไหมครับ 219 00:15:40,280 --> 00:15:46,920 ไม่ครับ นักโบราณคดีไม่พบหลักฐานที่สนับสนุน ว่ามีประชากรจำนวนมากอาศัยอยู่ 220 00:15:49,080 --> 00:15:54,080 งั้นถ้าเกรตเฮาส์เหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้น เพื่อให้คนอยู่อาศัย 221 00:15:54,720 --> 00:15:56,080 แล้วมันสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร 222 00:15:59,600 --> 00:16:04,440 ภายในซากปรักหักพัง นักโบราณคดีพบ การฝังศพเชิงพิธีกรรมมากกว่าร้อยแห่ง 223 00:16:08,440 --> 00:16:12,680 พร้อมเครื่องปั้นดินเผา ที่มีลวดลายเรขาคณิตสวยงาม 224 00:16:13,880 --> 00:16:17,360 {\an8}และโบราณวัตถุที่รู้ว่า มาจากสถานที่ห่างไกลหลายร้อย 225 00:16:17,440 --> 00:16:18,960 {\an8}หรืออาจจะหลายพันกิโลเมตร 226 00:16:19,040 --> 00:16:20,400 {\an8}(กระดิ่งทองแดง เม็กซิโก) 227 00:16:20,480 --> 00:16:23,800 {\an8}เราพบว่ามีการทุ่มเทพยายาม 228 00:16:24,840 --> 00:16:27,880 ที่จะสร้างที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางของโลก 229 00:16:31,120 --> 00:16:33,760 จากหลักฐานที่มีเข้ามา มันชัดเจนว่า 230 00:16:33,840 --> 00:16:36,680 ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นศูนย์กลางของการแสวงบุญ 231 00:16:36,760 --> 00:16:39,720 ที่ผู้คนจะเดินทางมาจากทั่วสารทิศ 232 00:16:39,800 --> 00:16:41,800 เพราะถูกดึงดูดด้วยความวิเศษของที่นี่ 233 00:16:42,960 --> 00:16:45,720 เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สักอย่าง 234 00:16:48,880 --> 00:16:51,760 ถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งก่อสร้างวงกลมที่เราพบ 235 00:16:51,840 --> 00:16:55,600 ใกล้สิ่งปลูกสร้างของชาโกเกือบทุกแห่ง ก็สมเหตุสมผลมากขึ้น 236 00:16:56,800 --> 00:17:00,160 ชาวโฮปี ซึ่งเป็นลูกหลาน ของชาวบรรพบุรุษปวยโบล 237 00:17:00,240 --> 00:17:02,720 เรียกสิ่งก่อสร้างวงกลมกึ่งใต้ดินนี้ว่า คีวา 238 00:17:03,920 --> 00:17:05,080 อธิบายเรื่องคีวาหน่อยครับ 239 00:17:05,160 --> 00:17:08,320 คุณคิดว่ามันคืออะไร ทั้งในตอนนี้และสมัยก่อน 240 00:17:08,920 --> 00:17:12,800 มีการเห็นพ้องกันโดยทั่วไปว่า คีวาคือสถานที่ประกอบพิธีกรรมครับ 241 00:17:12,880 --> 00:17:15,200 มันมีลักษณะบางอย่างที่พบคล้ายๆ กัน 242 00:17:15,720 --> 00:17:17,200 มันมีที่นั่งยาว 243 00:17:17,280 --> 00:17:20,760 และในคีวาที่ขนาดใหญ่กว่า มักจะเห็นช่องในพื้น 244 00:17:20,840 --> 00:17:24,880 ส่วนใหญ่จะมีหลุมฟืนเตาผิงด้วย 245 00:17:26,360 --> 00:17:28,880 สำหรับชาวโฮปีและชาวปวยโบลในปัจจุบัน 246 00:17:28,960 --> 00:17:32,760 คีวาเป็นพื้นที่ทางจิตวิญญาณและทางการเมือง 247 00:17:32,840 --> 00:17:35,800 ที่พวกเขารวมตัวกันเพื่อประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ 248 00:17:35,880 --> 00:17:37,800 มันเป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาหรือเปล่าครับ 249 00:17:37,880 --> 00:17:40,200 - พวกเขายังใช้มันทำพิธีหรือเปล่า - ครับ 250 00:17:41,120 --> 00:17:43,720 พิธีกรรมที่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน 251 00:17:43,800 --> 00:17:46,920 มีการใช้ยาสูบชนิดพิเศษร่วมด้วย 252 00:17:49,000 --> 00:17:50,960 {\an8}ทางตอนเหนือของชาโก ในรัฐยูทาห์ 253 00:17:51,600 --> 00:17:54,960 นักโบราณคดีที่กำลังศึกษา เตาไฟโบราณที่มนุษย์สร้างขึ้น 254 00:17:55,040 --> 00:17:57,560 พบเมล็ดพันธุ์ยาสูบชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์หลอนประสาท 255 00:17:58,280 --> 00:17:59,520 เรียกว่ายาสูบโคโยตี้ 256 00:18:00,520 --> 00:18:04,120 อายุคาร์บอนของเมล็ดที่เจอคือ 12,300 ปีก่อน 257 00:18:05,000 --> 00:18:09,080 บ่งบอกว่ามนุษย์ที่นี่ใช้ยาสูบมาตั้งแต่ยุคน้ำแข็ง 258 00:18:09,800 --> 00:18:12,680 จึงเป็นไปได้ว่าพืชหลอนประสาทแบบนี้ 259 00:18:12,760 --> 00:18:17,040 ยังคงถูกใช้ในพิธีกรรมที่ชาโกหลายพันปีต่อมาด้วย 260 00:18:19,520 --> 00:18:22,320 เหมือนที่หมอผีในแอมะซอนใช้อายาวัสกา 261 00:18:26,000 --> 00:18:29,000 เป็นไปได้ไหมว่าประเพณีหมอผีเหล่านี้ 262 00:18:29,080 --> 00:18:31,080 ที่อยู่ห่างกันหลายพันกิโลเมตร 263 00:18:31,600 --> 00:18:34,920 จะเป็นมรดกตกทอด จากระบบความเชื่อเดียวกันที่โบราณกว่า 264 00:18:35,000 --> 00:18:37,760 ที่ทิ้งร่องรอยของมันไว้ทั่วทวีปอเมริกา 265 00:18:39,440 --> 00:18:42,640 เพื่อสำรวจความลึกลับของคีวาเหล่านี้ให้มากขึ้น 266 00:18:42,720 --> 00:18:44,960 ผมมุ่งหน้าไปยังขอบแคนยอน 267 00:18:45,040 --> 00:18:47,800 ห่างจากปวยโบล โบนิโต ไปทางใต้เกือบหนึ่งกิโลเมตร 268 00:18:49,080 --> 00:18:50,920 เพื่อไปยังคีวาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาทั้งหมด 269 00:18:52,840 --> 00:18:54,080 คาซา รินโคนาดา 270 00:18:57,840 --> 00:19:00,480 ต่างจากคีวาส่วนใหญ่ของชาโก 271 00:19:00,560 --> 00:19:03,880 คาซา รินโคนาดาตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว จากสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่อื่นๆ 272 00:19:06,080 --> 00:19:08,040 ข้างในกำแพงล้อมรอบที่ลึกไปถึงด้านล่าง 273 00:19:08,120 --> 00:19:11,160 มีประตูรูปตัวทีถูกสร้างบนกำแพง 274 00:19:11,880 --> 00:19:15,280 เป็นช่องที่หันหน้าไปทาง ทิศเหนือและใต้เกือบเป๊ะๆ 275 00:19:17,640 --> 00:19:21,760 ภาพถ่ายแบบไทม์แลปส์แสดงให้เห็นว่า เหนือประตูแบบเป๊ะๆ เลยนั้น 276 00:19:21,840 --> 00:19:25,600 ท้องฟ้ายามค่ำคืนหมุนรอบดาวเหนือโพลาริส 277 00:19:27,920 --> 00:19:31,400 คาซา รินโคนาดานี้ มีบางสิ่งที่ดูคุ้นตาอย่างประหลาด 278 00:19:33,560 --> 00:19:37,120 {\an8}มันทำให้ผมนึกถึงโกเบคลี เทเป โบราณสถานหินเมกะลิทจากยุคน้ำแข็ง 279 00:19:37,200 --> 00:19:38,440 {\an8}ในตุรกีที่อยู่ห่างไปไกลโพ้น 280 00:19:40,720 --> 00:19:44,360 ที่นั่น ในโถงคีวาทรงกลมลึกลงไปใต้ดิน ที่คล้ายกันนี้ 281 00:19:45,160 --> 00:19:46,720 ก็มีเสารูปตัวที 282 00:19:47,360 --> 00:19:50,600 ที่ถูกจัดวางให้สอดคล้อง กับตำแหน่งบนท้องฟ้าเช่นกัน 283 00:19:53,200 --> 00:19:55,320 แต่สิ่งก่อสร้างโบราณเหล่านี้ 284 00:19:55,400 --> 00:19:58,880 ที่อยู่ห่างกันมากทั้งทางภูมิศาสตร์และยุคสมัย 285 00:19:59,400 --> 00:20:00,680 มีความเชื่อมโยงกันได้ยังไง 286 00:20:01,520 --> 00:20:03,360 มันเชื้อเชิญให้เราทำการคาดเดาครับ 287 00:20:04,440 --> 00:20:07,960 และตำนานการกำเนิดของชาวโฮปี อาจมีเบาะแส 288 00:20:09,200 --> 00:20:12,320 ชาวโฮปีเชื่อว่าเรากำลังอาศัยอยู่ในโลกที่สี่ 289 00:20:12,400 --> 00:20:15,560 พวกเขาเชื่อว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเคยขึ้นมา 290 00:20:15,640 --> 00:20:18,080 จากโลกใต้ดินแล้วสามครั้ง 291 00:20:22,920 --> 00:20:26,880 ตามตำนานของชาวโฮปี หลังจากที่สิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกถูกสร้างขึ้น 292 00:20:27,440 --> 00:20:30,840 เทพแห่งดวงอาทิตย์สั่งให้ สไปเดอร์แกรนด์มาเธอร์ ผู้ส่งสารของเขา 293 00:20:31,440 --> 00:20:35,760 คอยนำทางสิ่งมีชีวิตที่กำลังพัฒนานี้ ผ่านสองโลกแรก 294 00:20:38,720 --> 00:20:39,920 ในโลกที่สาม 295 00:20:40,000 --> 00:20:43,200 สไปเดอร์แกรนด์มาเธอร์สอนมนุษย์ยุคแรก ให้ทอผ้าและทำเครื่องปั้นดินเผา 296 00:20:43,800 --> 00:20:45,800 และสอนให้พวกเขาแยกแยะความดีความชั่ว 297 00:20:49,440 --> 00:20:52,000 กระนั้นบางคนกลับหันเข้าสู่หนทางชั่วร้าย 298 00:20:54,840 --> 00:20:59,120 เทพแห่งดวงอาทิตย์ไม่พอใจ จึงได้สั่งให้ผู้ที่มีใจบริสุทธิ์เดินทางต่อ 299 00:21:00,960 --> 00:21:04,280 พวกเขาปีนต้นอ้อยักษ์ขึ้นไปยังช่องบนท้องฟ้า 300 00:21:05,560 --> 00:21:09,040 ที่นั่น สไปเดอร์แกรนด์มาเธอร์ ช่วยให้พวกเขาออกมาสู่บ้านใหม่ 301 00:21:09,640 --> 00:21:13,320 โลกที่สี่ ที่ลูกหลานของพวกเขา ยังคงอาศัยอยู่จนถึงทุกวันนี้ 302 00:21:16,840 --> 00:21:21,640 ชาวโฮปีถือว่าลักษณะทางธรณีวิทยาแปลกๆ ในแกรนด์แคนยอนคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 303 00:21:22,160 --> 00:21:25,360 โดยเชื่อว่ามันคือช่องที่พวกเขา ปีนออกมาตามตำนาน 304 00:21:26,680 --> 00:21:28,320 พวกเขาเรียกมันว่า ซิปาปู 305 00:21:29,920 --> 00:21:31,400 ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้มัน 306 00:21:31,480 --> 00:21:34,920 แต่ในเชิงสัญลักษณ์แล้ว ซิปาปูถูกจำลองขึ้นทั่วดินแดนของชาวโฮปี 307 00:21:38,080 --> 00:21:43,880 ในวัฒนธรรมของชาวปวยโบล รูบนพื้นของคีวาก็มีชื่อว่าซิปาปู 308 00:21:43,960 --> 00:21:50,320 มันถูกมองว่าเป็นที่ที่คนโบราณ โผล่ขึ้นมาจากโลกก่อน ที่ถูกทำลายไป 309 00:21:50,400 --> 00:21:53,120 เข้าสู่โลกที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน 310 00:21:54,280 --> 00:21:57,040 และนี่คือจุดที่ผมอยากจะเปรียบเทียบครับ 311 00:21:57,120 --> 00:21:59,440 ซึ่งอาจดูสุดโต่งมาก 312 00:21:59,520 --> 00:22:04,080 ผมสงสัยว่าทั้งหมดนี้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลา 313 00:22:04,160 --> 00:22:08,000 ที่ผู้คนจำเป็นต้องหลบภัยใต้ดินกันหรือเปล่า 314 00:22:08,640 --> 00:22:13,360 และเรารู้ว่ามีช่วงเวลาแบบนั้น ราว 12,800 ปีก่อน 315 00:22:13,440 --> 00:22:15,400 ในช่วงเริ่มต้นปรากฏการณ์ยังเกอร์ ดรายอัส 316 00:22:17,520 --> 00:22:19,320 แม้ว่าจะยังคงมีการถกเถียงกัน 317 00:22:19,400 --> 00:22:22,560 นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็เชื่อว่า ภัยพิบัติที่เขย่าโลก 318 00:22:22,640 --> 00:22:26,520 และน้ำท่วมในช่วงเวลานั้น เกิดจากดาวหางพุ่งชนโลก 319 00:22:26,600 --> 00:22:28,400 และการระเบิดของวัตถุบนท้องฟ้า 320 00:22:28,480 --> 00:22:32,680 เมื่อโลกเคลื่อนผ่านเส้นทาง ของเศษซากดาวหางที่แตกตัว 321 00:22:35,680 --> 00:22:38,440 ถ้าศัตรูคืออันตรายที่มาจากฟากฟ้า 322 00:22:38,520 --> 00:22:41,960 ถ้ามันเกิดจากการชน ของเศษดาวหางยักษ์ที่แตกออกมา 323 00:22:42,520 --> 00:22:45,000 งั้นการสร้างสิ่งก่อสร้างใต้ดินก็ฟังดูมีเหตุผล 324 00:22:45,920 --> 00:22:48,840 ความเชื่อมโยงโบราณนี้ ไม่ได้เชื่อมโยงกับสถานที่เหล่านี้โดยตรง 325 00:22:48,920 --> 00:22:51,640 แต่มันเป็นความทรงจำที่ถูกเก็บรักษาไว้ ในตำนานเรื่องเล่า 326 00:22:52,200 --> 00:22:55,760 ว่าเคยมีช่วงเวลาที่บรรพบุรุษของเรา 327 00:22:55,840 --> 00:22:58,760 ต้องขึ้นมาจากใต้ดิน เพื่อออกมายังโลกใหม่ 328 00:22:58,840 --> 00:23:03,160 ที่ถูกภัยพิบัติกวาดล้าง เพื่อขยายประชากรในโลกใหม่ 329 00:23:06,080 --> 00:23:07,360 ขอผมพูดให้ชัดนะครับ 330 00:23:07,440 --> 00:23:12,000 ผมไม่สงสัยเลยว่าคีวาที่น่าทึ่งนี้ มีอายุราว 1,000 ปี 331 00:23:12,080 --> 00:23:14,960 แต่ผมสงสัยว่าคนที่สร้างมัน เอามรดกทางความรู้ 332 00:23:15,040 --> 00:23:19,200 และแนวคิดที่เก่าแก่กว่ามาก มาผสมเข้าไปในสิ่งก่อสร้าง 333 00:23:20,480 --> 00:23:24,200 คล้ายกับอีกแนวคิดหนึ่ง ที่เราเห็นมันถูกใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า 334 00:23:24,280 --> 00:23:26,520 ที่โบราณสถานทุกแห่งในอเมริกา 335 00:23:27,320 --> 00:23:30,920 นั่นคือความรู้ทางดาราศาสตร์และเรขาคณิต 336 00:23:34,320 --> 00:23:38,680 ที่ปวยโบล โบนิโต สิ่งก่อสร้างทั้งหมด ถูกจัดวางเป็นแนวเดียว 337 00:23:38,760 --> 00:23:42,840 กับทิศหลักทั้งสี่ เหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตกแบบเป๊ะๆ 338 00:23:43,600 --> 00:23:47,200 แสดงให้เห็นว่าผู้สร้างเข้าใจ ถึงตำแหน่งของโลกที่พวกเขาอยู่ 339 00:23:48,200 --> 00:23:52,640 ยิ่งไปกว่านั้น ในวันวิษุวัต จะมีสิ่งวิเศษเกิดขึ้นด้วย 340 00:23:53,320 --> 00:23:58,240 ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ตรงกับทิศตะวันตกของกำแพงทางใต้ 341 00:24:00,480 --> 00:24:02,800 มันไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน 342 00:24:03,480 --> 00:24:05,080 แต่มันถูกคิดมาอย่างดี 343 00:24:05,680 --> 00:24:08,920 และผมว่าสิ่งที่ทำให้ผู้คนสนใจเรื่องนี้ 344 00:24:09,000 --> 00:24:11,680 เพราะมันเป็นท้องฟ้าเดียว กับที่เรามองเห็นทุกวันนี้ 345 00:24:11,760 --> 00:24:13,680 - ครับ - เรายังเห็นอาทิตย์ขึ้นและตกตรงนั้น 346 00:24:16,160 --> 00:24:20,320 ผมเคยได้ยินว่าในอดีต คนที่ทำงานที่นี่ถูกเรียกว่านักบวช 347 00:24:20,400 --> 00:24:21,400 ถูกต้องไหมครับ 348 00:24:21,480 --> 00:24:24,880 พวกเขาเป็นผู้เฝ้าดูดวงอาทิตย์ครับ เป็นนักบวชดวงอาทิตย์ 349 00:24:24,960 --> 00:24:27,640 พวกเขายังเป็นคนที่อุทิศตนให้สถาปัตยกรรม 350 00:24:27,720 --> 00:24:30,760 เป็นคนที่อุทิศตนให้กับการเฝ้าดูท้องฟ้า 351 00:24:30,840 --> 00:24:31,680 ครับ 352 00:24:33,360 --> 00:24:37,040 แล้วเหตุการณ์บนท้องฟ้าหลักๆ อะไร ที่พวกเขาตามดูครับ 353 00:24:37,120 --> 00:24:41,400 ครีษมายัน เหมายัน วิษุวัต เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออกเป๊ะๆ เหรอ 354 00:24:41,480 --> 00:24:43,920 เพราะมันเชื่อมโยงกับการเกษตรครับ 355 00:24:44,000 --> 00:24:45,000 ครับ 356 00:24:45,080 --> 00:24:50,720 การมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นปฏิทินให้ดู เป็นสิ่งสำคัญต่อการอยู่รอด 357 00:24:50,800 --> 00:24:53,640 และการที่พวกเขาเอาความรู้แบบนั้น 358 00:24:53,720 --> 00:24:56,360 มาใส่ไว้ในสิ่งก่อสร้างใหญ่โตแบบนี้ได้ 359 00:24:56,960 --> 00:24:58,920 ผมคิดว่าทุกอย่างนี้ถูกทำขึ้น 360 00:24:59,000 --> 00:25:01,800 เพื่อให้พวกเขาเพาะปลูกได้ผลครับ 361 00:25:03,720 --> 00:25:05,880 เป็นข้อโต้แย้งที่ผมเคยได้ยินมาก่อน 362 00:25:05,960 --> 00:25:07,640 แต่การสันนิษฐานนี้มีปัญหาอยู่อย่าง 363 00:25:07,720 --> 00:25:10,560 นั่นคือพวกเขาลำบากลำบนขนาดนี้ เพื่อการเพาะปลูกเท่านั้นเหรอ 364 00:25:13,640 --> 00:25:18,600 ห่างจากชาโกแคนยอนไปทางเหนือ ราว 144 กิโลเมตรมีสันหินทรายโดดเด่น 365 00:25:19,240 --> 00:25:24,240 ยอดหินสองยอดที่รู้จักกันในชื่อ ชิมนีย์ร็อกและคอมแพเนียนร็อก 366 00:25:25,960 --> 00:25:28,800 ใกล้กับพวกมัน เราพบเกรตเฮาส์ของชาโก 367 00:25:28,880 --> 00:25:30,600 ที่มีคีวาอยู่สองห้อง 368 00:25:31,760 --> 00:25:37,120 ปรากฏว่าสิ่งก่อสร้างทั้งหมดนี้ถูกจัดวางที่นั่น 369 00:25:37,200 --> 00:25:39,280 ในตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงมาก 370 00:25:39,360 --> 00:25:45,880 เพื่อใช้สังเกตเหตุการณ์ทางจันทรคติ ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวทุก 18.6 ปี 371 00:25:45,960 --> 00:25:48,920 ซึ่งก็คือช่วงที่ดวงจันทร์หยุดนิ่งในตำแหน่งเหนือสุด 372 00:25:50,320 --> 00:25:52,480 เป็นช่วงที่ดวงจันทร์ขึ้นและตก 373 00:25:52,560 --> 00:25:55,480 ที่จุดเหนือสุดบนท้องฟ้ายามค่ำคืน 374 00:25:56,080 --> 00:25:58,960 ก่อนที่จะค่อยๆ ขึ้นและตกไปทางใต้มากขึ้น 375 00:25:59,040 --> 00:26:01,080 ตามวัฏจักรที่เกิดซ้ำๆ 376 00:26:02,520 --> 00:26:07,000 ดวงจันทร์จะขึ้นตรงช่องระหว่าง ชิมนีย์ร็อกกับคอมแพเนียนร็อก 377 00:26:07,080 --> 00:26:09,720 เฉพาะช่วงเวลานั้นเท่านั้น และไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลาอื่น 378 00:26:11,480 --> 00:26:14,520 นี่เป็นความรู้แบบที่ต้องส่งต่อกันมา 379 00:26:14,600 --> 00:26:16,120 จากรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น 380 00:26:16,960 --> 00:26:18,760 คุณจะไม่สังเกตเห็นมันแค่ครั้งเดียว 381 00:26:18,840 --> 00:26:21,600 แล้วมาสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อระลึกถึงมันหรอก 382 00:26:23,880 --> 00:26:27,080 สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึง ความพยายามทางปัญญาของคนโบราณ 383 00:26:27,160 --> 00:26:30,280 ที่จะทำความเข้าใจจักรวาลรอบตัว 384 00:26:30,360 --> 00:26:34,960 จักรวาลที่เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนแปลง 385 00:26:35,640 --> 00:26:38,720 และการสังเกตการเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว 386 00:26:38,800 --> 00:26:41,360 ก็ต้องใช้ความพยายามมาก 387 00:26:41,440 --> 00:26:43,520 ในหลายๆ กรณี อาจใช้เวลาเป็นพันปีเลย 388 00:26:46,400 --> 00:26:49,200 เมื่อนักวิจัยเริ่มมองหาการจัดวาง ที่อิงตามจันทรคติ 389 00:26:49,280 --> 00:26:51,440 ในสิ่งปลูกสร้างที่ชาโกแคนยอน 390 00:26:51,520 --> 00:26:54,080 พวกเขาก็พบตัวอย่างที่น่าทึ่งหลายอย่าง 391 00:26:56,640 --> 00:27:00,960 เมื่อดวงจันทร์ถึงจุดหยุดนิ่งทางใต้สุดในฤดูหนาว 392 00:27:01,040 --> 00:27:03,800 ซึ่งเกิดขึ้นทุก 18.6 ปีเช่นกัน 393 00:27:04,640 --> 00:27:08,640 มันจะเรียงเป็นเส้นตรงกับเกรตเฮาส์สามแห่ง ที่อยู่ห่างกันราวสิบกิโลเมตร 394 00:27:09,160 --> 00:27:11,160 โดยมีปวยโบล โบนิโตอยู่ตรงกลาง 395 00:27:12,160 --> 00:27:15,960 และ 9.3 ปีต่อมา หรือกึ่งกลางของวัฏจักรนี้ 396 00:27:16,640 --> 00:27:20,000 ดวงจันทร์ในฤดูร้อนจะขึ้นเรียงเป็นเส้นตรง ผ่านสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ 397 00:27:20,080 --> 00:27:22,720 {\an8}ทางตะวันออกของปวยโบล โบนิโต ไปยังโบราณสถานอีกแห่ง 398 00:27:22,800 --> 00:27:25,080 {\an8}ที่ห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ราว 18 กิโลเมตร 399 00:27:27,640 --> 00:27:29,800 ขณะที่ดวงจันทร์ดวงเดียวกันนี้ในช่วงตกดิน 400 00:27:29,880 --> 00:27:31,760 จะส่องแสงผ่านเกรตเฮาส์อีกแห่งหนึ่ง 401 00:27:31,840 --> 00:27:33,880 ผ่านปวยโบล โบนิโต 402 00:27:33,960 --> 00:27:38,560 ไปยังเกรตเฮาส์อีกแห่งที่อยู่ห่างออกไป กว่า 27 กิโลเมตรจากแคนยอน 403 00:27:38,640 --> 00:27:40,120 (ปวยโบล พินทาโด) 404 00:27:40,200 --> 00:27:41,800 และมีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน 405 00:27:42,320 --> 00:27:47,000 วัฏจักรจันทรคติ 18.6 ปีไม่มีอิทธิพลใดๆ 406 00:27:47,560 --> 00:27:49,240 กับการเพาะปลูกเลยสักนิด 407 00:27:49,320 --> 00:27:53,480 แล้วทำไมชาวปวยโบลโบราณ ถึงได้ลำบากลำบนเอาเรื่องนี้ 408 00:27:53,560 --> 00:27:55,680 ใส่ไว้ในสถาปัตยกรรมของพวกเขา 409 00:27:56,960 --> 00:28:01,000 เรื่องนี้บอกชัดเจนว่า มันไม่เกี่ยวกับจุดประสงค์ทางเศรษฐกิจ 410 00:28:01,080 --> 00:28:03,160 แต่ทำเพื่อเฉลิมฉลอง 411 00:28:03,240 --> 00:28:05,200 ความเชื่อมโยงระหว่างท้องฟ้าและโลก 412 00:28:07,400 --> 00:28:11,520 ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าเมื่อรวมสิ่งก่อสร้าง ทั้งหมดในชาโกเข้าด้วยกัน 413 00:28:11,600 --> 00:28:14,880 จะได้เป็นปฏิทินพิธีกรรมที่ตั้งอยู่บนผืนดิน 414 00:28:18,480 --> 00:28:21,920 ในแคนยอนที่อาจถูกเลือก เพื่อจุดประสงค์นี้โดยเฉพาะ 415 00:28:22,440 --> 00:28:25,440 เพราะมันเป็นสถานที่บนโลกที่เชื่อมโยง กับทางช้างเผือกในเชิงสัญลักษณ์ 416 00:28:27,760 --> 00:28:31,200 แต่ความเชื่อมโยงระหว่างจักรวาล ท้องฟ้า และพื้นดิน 417 00:28:31,280 --> 00:28:33,200 ที่ว่า "เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้น" 418 00:28:33,280 --> 00:28:35,320 ที่สำคัญมากต่อวัฒนธรรมชาโก 419 00:28:35,400 --> 00:28:38,520 ไม่ได้มีอยู่แค่ในสิ่งปลูกสร้าง ขนาดใหญ่ของพวกเขาเท่านั้น 420 00:28:42,000 --> 00:28:45,000 ห่างไปประมาณแปดกิโลเมตร ทางตะวันออกเฉียงใต้ของชาโกตอนกลาง 421 00:28:47,280 --> 00:28:49,320 ผมกำลังเดินขึ้นจากพื้นแคนยอน 422 00:28:51,080 --> 00:28:55,800 เพื่อค้นหาบางสิ่งน่าสนใจ ที่อยู่บนผนังแคนยอนขรุขระ 423 00:28:59,360 --> 00:29:04,240 ผลงานศิลปะโบราณ สลักบนหินที่นั่น 424 00:29:09,800 --> 00:29:13,000 พวกนี้คือบันทึกอันล้ำค่า คือเรื่องราวที่ถูกสลักไว้บนหิน 425 00:29:13,080 --> 00:29:16,480 ที่ถูกปรับปรุง แก้ไข และเพิ่มเติมเข้าไป 426 00:29:16,560 --> 00:29:19,440 ตลอดช่วงหลายพันปีเลยก็ได้ใครจะรู้ 427 00:29:21,720 --> 00:29:24,480 มีภาพคนที่ดูเหมือนกำลังเต้นรำ 428 00:29:24,560 --> 00:29:26,560 และเล่นเครื่องดนตรี 429 00:29:29,080 --> 00:29:32,800 มีลวดลายก้นหอย และงูที่ขดตัวไปตามผนังแคนยอน 430 00:29:33,440 --> 00:29:37,640 ยังมีรูปสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดและเรขาคณิต 431 00:29:37,720 --> 00:29:40,400 ที่คล้ายกับศิลปะในแอมะซอน 432 00:29:40,920 --> 00:29:42,920 ที่อาจได้รับแรงกระตุ้นจากสารหลอนประสาท 433 00:29:44,880 --> 00:29:48,320 ไม่ว่าคุณจะอยู่ส่วนไหนของโลก ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหนในประวัติศาสตร์ 434 00:29:48,400 --> 00:29:51,920 เมื่อคุณพบศิลปะในถ้ำ ศิลปะสกัดหิน และศิลปะบนก้อนหิน 435 00:29:52,000 --> 00:29:55,200 คุณจะพบภาพที่เหมือนกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า 436 00:29:55,280 --> 00:29:57,600 กับศิลปะที่ได้แรงกระตุ้นจากอายาวัสกา 437 00:29:57,680 --> 00:29:59,440 และสารหลอนประสาทอื่นๆ 438 00:30:02,840 --> 00:30:05,200 นอกจากเรื่องนิมิตจากยาหลอนประสาทแล้ว 439 00:30:05,280 --> 00:30:10,360 ศิลปะบนหินที่ชาโกยังสะท้อนถึงความสนใจ ด้านดาราศาสตร์แบบที่พบในสถาปัตยกรรมด้วย 440 00:30:13,320 --> 00:30:16,480 ภาพนี้ถูกตีความว่าเป็นสุริยุปราคา 441 00:30:17,240 --> 00:30:21,320 ดวงอาทิตย์ถูกดวงจันทร์บดบัง ขณะที่รัศมีของมันส่องสว่างออกมา 442 00:30:23,600 --> 00:30:25,840 และนี่คือซูเปอร์โนวา 443 00:30:25,920 --> 00:30:28,880 ที่ตอนนี้รู้แล้วว่ามองเห็นได้บนท้องฟ้ายามกลางวัน 444 00:30:29,480 --> 00:30:33,680 ในยุคของชาวบรรพบุรุษปวยโบล ปีค.ศ.1054 445 00:30:34,680 --> 00:30:38,600 ทำไมต้องสร้างภาพแบบนี้ในที่ที่เข้าถึงยากด้วย 446 00:30:39,120 --> 00:30:41,680 เว้นแต่จะมีเหตุผลน่าสนใจให้ทำแบบนั้น 447 00:30:43,160 --> 00:30:48,640 ในเมื่อไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์ หรือการเมืองที่ชัดเจน 448 00:30:48,720 --> 00:30:52,280 ก็ต้องมีจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นแน่ๆ 449 00:30:53,560 --> 00:30:56,000 สำหรับผมมันดูชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ 450 00:30:56,080 --> 00:30:59,440 ว่าชาโกแคนยอนเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม 451 00:30:59,520 --> 00:31:03,880 และไม่มีทางถูกสร้างขึ้นแค่พันปีก่อนแน่นอน 452 00:31:03,960 --> 00:31:05,880 แต่ย้อนกลับไปไกลกว่านั้นมาก 453 00:31:05,960 --> 00:31:08,360 อาจไกลถึงยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเลย 454 00:31:14,000 --> 00:31:18,600 ตามที่คุณทราบ เราสามารถย้อนรอย 455 00:31:18,680 --> 00:31:21,280 การมีมนุษย์อยู่ที่ชาโกแคนยอนได้ไกลแค่ไหนครับ 456 00:31:21,360 --> 00:31:25,880 คุณอาจเคยได้ยินเรื่องเร็วๆ นี้ ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติไวต์แซนส์… 457 00:31:25,960 --> 00:31:28,280 เรื่องรอยเท้าอายุ 23,000 ปีที่ไวต์แซนส์ 458 00:31:28,360 --> 00:31:30,840 - และนั่นก็ไม่ไกลจากที่นี่เลย - ครับ 459 00:31:30,920 --> 00:31:35,120 มันเลยมีความเป็นไปได้สูงว่า อาจมีคนอยู่ที่ชาโกแคนยอน 460 00:31:35,800 --> 00:31:40,680 ราว 10,000 ปีก่อนที่จะมี สิ่งก่อสร้างใดๆ ถูกสร้างขึ้น 461 00:31:43,120 --> 00:31:45,080 ผมคิดว่าพวกเขา 462 00:31:45,160 --> 00:31:50,280 สังเกตภูมิประเทศและท้องฟ้ามาหลายชั่วอายุคน 463 00:31:50,360 --> 00:31:52,880 - ก่อนตัดสินใจสร้างสิ่งปลูกสร้าง - ครับ 464 00:31:57,440 --> 00:31:59,480 ชาโกแคนยอนแสดงให้เห็นถึงร่องรอย 465 00:31:59,560 --> 00:32:02,840 ของวัฒนธรรมนักดาราศาสตร์ ที่มีความเชี่ยวชาญสูง 466 00:32:03,720 --> 00:32:09,000 พวกเขามุ่งมั่นในการสังเกต วัฏจักรดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว 467 00:32:09,960 --> 00:32:12,360 และความยิ่งใหญ่ของจักรวาล 468 00:32:12,440 --> 00:32:15,320 นี่ไม่ได้เป็นลักษณะเฉพาะ ของวัฒนธรรมชาโกเท่านั้น 469 00:32:15,400 --> 00:32:17,480 แต่ยังพบเห็นได้ในที่อื่น 470 00:32:17,560 --> 00:32:20,640 ด้วยการใช้สัญลักษณ์ ศิลปะ และการจัดวางสถาปัตยกรรม 471 00:32:20,720 --> 00:32:22,440 ที่คล้ายคลึงกันจนน่าขนลุก 472 00:32:22,520 --> 00:32:25,560 กับวัฒนธรรมโบราณอื่นๆ มากมายทั่วโลก 473 00:32:27,680 --> 00:32:31,840 {\an8}วิหารหินเมกะลิทมนาจดรา ในมอลตาก็ถูกจัดวางอย่างแม่นยำ 474 00:32:31,920 --> 00:32:34,360 {\an8}เพื่อจับช่วงปรากฏการณ์วิษุวัตและอายัน 475 00:32:36,480 --> 00:32:39,560 {\an8}หรือทางเดินของมหาวิหารคาร์นักในอียิปต์ 476 00:32:39,640 --> 00:32:41,880 {\an8}ทอดตรงไปยังจุดที่ดวงอาทิตย์ขึ้นวันเหมายัน 477 00:32:44,400 --> 00:32:47,480 {\an8}หรือความเป๊ะของปราสาทตรงกลาง 478 00:32:47,560 --> 00:32:49,560 {\an8}ของวัดอังกอร์ในกัมพูชา 479 00:32:49,640 --> 00:32:52,160 ที่ถูกจัดวางให้ตรงกับดวงอาทิตย์ขึ้นในช่วงวิษุวัต 480 00:32:53,480 --> 00:32:57,000 ดูเหมือนว่าทั่วโลกเคยมีโครงการสถาปัตยกรรม 481 00:32:57,080 --> 00:33:01,400 ที่เอาความสอดคล้องและทิศทางบนท้องฟ้า 482 00:33:01,480 --> 00:33:05,280 มาใส่ไว้ในอนุสรณ์บนโลก เพื่อเชื่อมท้องฟ้ากับโลก 483 00:33:08,240 --> 00:33:12,680 แต่สิ่งที่ดูเหมือนโครงการของมนุษย์นี้ ย้อนกลับไปไกลขนาดไหน 484 00:33:19,400 --> 00:33:20,360 มีเบาะแสอยู่ 485 00:33:20,440 --> 00:33:23,880 ในหนึ่งในอารยธรรมโบราณ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกา 486 00:33:24,920 --> 00:33:26,200 (วิยาเอร์โมซา) 487 00:33:26,280 --> 00:33:30,040 ที่เคยปกครองบริเวณที่ตอนนี้ คือตอนใต้ของเม็กซิโกและอเมริกากลาง 488 00:33:31,560 --> 00:33:32,520 อารยธรรมมายา 489 00:33:35,000 --> 00:33:39,080 สำหรับผม มายาเป็นหนึ่ง ในวัฒนธรรมที่น่าหลงใหลที่สุด 490 00:33:39,160 --> 00:33:40,480 ของโลกยุคโบราณเลย 491 00:33:41,240 --> 00:33:45,360 และเป็นวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วย ความลึกลับและความขัดแย้ง 492 00:33:48,000 --> 00:33:50,640 ปัจจุบันลูกหลานของชาวมายา จำนวนมากยังคงอาศัยอยู่ที่นี่ 493 00:33:52,440 --> 00:33:56,280 ในภูมิประเทศที่งดงามของเชียปัส และคาบสมุทรยูกาตัน 494 00:34:00,120 --> 00:34:03,600 นานก่อนยุคของอินคา และวัฒนธรรมปวยโบลในชาโก 495 00:34:05,160 --> 00:34:07,400 อารยธรรมมายาเคยรุ่งเรืองที่นี่ 496 00:34:09,240 --> 00:34:12,760 มันเป็นวัฒนธรรมที่แสดงออก ถึงอัจฉริยภาพหลายๆ ด้าน 497 00:34:14,520 --> 00:34:17,960 โดยเฉพาะความสำเร็จ ด้านสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ 498 00:34:20,640 --> 00:34:23,520 ท่ามกลางป่าฝนเขตร้อนชื้นในที่ราบลุ่ม 499 00:34:23,600 --> 00:34:27,400 นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวมายา ที่ชื่อว่าปาเลงเก 500 00:34:28,360 --> 00:34:32,000 (ปาเลงเก เม็กซิโก) 501 00:34:40,040 --> 00:34:43,400 ปาเลงเกเป็นสถานที่งดงาม ตระการตาอย่างแท้จริงครับ 502 00:34:44,240 --> 00:34:46,560 เพราะสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมที่น่าทึ่งของมัน 503 00:34:46,640 --> 00:34:49,360 ปาเลงเกจึงมีลักษณะเด่น แบบมายาคลาสสิกอยู่ครบถ้วน 504 00:34:52,560 --> 00:34:53,560 ทั้งพีระมิดสูงตระหง่าน 505 00:34:55,600 --> 00:34:57,040 สนามบอลพิธีกรรม 506 00:34:58,240 --> 00:34:59,440 พระราชวังเจริญรุ่งเรือง 507 00:35:00,840 --> 00:35:04,240 และวิหารที่เต็มไปด้วยภาพที่น่าสนใจ 508 00:35:06,760 --> 00:35:10,000 มายาน่าจะเป็นที่รู้จักดีที่สุด ด้านสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง 509 00:35:10,080 --> 00:35:14,040 กลุ่มพีระมิดมหัศจรรย์ที่พวกเขาสร้างขึ้น 510 00:35:14,120 --> 00:35:18,920 โดยทั่วไปจะเป็นพีระมิดที่มีขั้นบันได และการออกแบบสง่างาม 511 00:35:19,000 --> 00:35:21,480 และการก่อสร้างที่มีความเที่ยงตรงสูง 512 00:35:21,560 --> 00:35:24,880 สิ่งนี้บอกเราทันทีว่า เรากำลังมองดูวัฒนธรรมขั้นสูง 513 00:35:29,720 --> 00:35:32,920 {\an8}มิลเดร็ด ลูคัส การ์เซีย ผู้เชี่ยวชาญด้านมายาและไกด์ 514 00:35:33,000 --> 00:35:35,000 {\an8}อุทิศเวลามากกว่าสิบปี 515 00:35:35,080 --> 00:35:37,040 ทำความเข้าใจปาเลงเกให้ดียิ่งขึ้น 516 00:35:38,800 --> 00:35:41,520 ที่นี่เริ่มก่อสร้างขึ้นเมื่อไรครับ 517 00:35:41,600 --> 00:35:43,520 มีคนใช้ที่นี่มานานแค่ไหน 518 00:35:44,160 --> 00:35:47,600 เริ่มมีการวางรากฐานเมือง ในปี 200 ก่อนคริสต์ศักราชค่ะ 519 00:35:47,680 --> 00:35:50,640 และถูกทิ้งร้างในช่วงปี 900 หลังคริสต์ศักราช 520 00:35:50,720 --> 00:35:51,560 ครับ 521 00:35:51,640 --> 00:35:55,080 ตอนผมมองดูสถานที่น่าทึ่งนี้ พีระมิดขนาดใหญ่เหล่านี้ 522 00:35:55,160 --> 00:35:58,040 มันถูกสร้างขึ้นสวยงามมาก ออกแบบมาสวยงาม 523 00:35:58,120 --> 00:36:01,360 เห็นชัดว่านี่คือผลงานของคนที่มีทักษะสูง 524 00:36:01,440 --> 00:36:04,600 และพวกเขาต้องมีการวางแผนบางอย่างตั้งแต่ต้น 525 00:36:04,680 --> 00:36:06,400 บอกหน่อยสิครับว่าพวกเขาทำได้ยังไง 526 00:36:06,480 --> 00:36:09,480 เรารู้ว่ามีเหมืองหินอยู่ใกล้ๆ 527 00:36:09,560 --> 00:36:12,760 พวกเขาเลยตัดสินใจสร้างเมืองที่นี่ 528 00:36:12,840 --> 00:36:15,240 เพราะพวกเขามีทรัพยากรธรรมชาติทุกอย่าง 529 00:36:15,320 --> 00:36:17,360 แถวนี้มีหินปูนอยู่เต็มไปหมด 530 00:36:17,440 --> 00:36:19,440 มีน้ำ 531 00:36:19,520 --> 00:36:23,000 และนี่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์เหมาะให้สร้างเมือง 532 00:36:23,080 --> 00:36:26,720 แต่ยังไม่มีคำตอบว่า พวกเขาสร้างมันขึ้นมาได้ยังไง 533 00:36:27,320 --> 00:36:28,720 - เราไม่รู้ค่ะ - เป็นปริศนา 534 00:36:28,800 --> 00:36:30,480 - ยังคงเป็นปริศนา - ครับ 535 00:36:31,320 --> 00:36:33,800 ทำไมชาวมายาถึงสร้างพีระมิดเหรอครับ 536 00:36:33,880 --> 00:36:36,560 เราเห็นพีระมิดที่ปาเลงเกเยอะเลย 537 00:36:37,600 --> 00:36:42,600 พีระมิดนั้น ไม่เพียงแค่กับชาวมายา แต่กับวัฒนธรรมโบราณอื่นๆ ด้วย 538 00:36:42,680 --> 00:36:44,680 มันเป็นตัวแทนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ค่ะ 539 00:36:45,400 --> 00:36:48,440 ที่นี่ในปาเลงเก พวกเขาสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆ นี้ 540 00:36:48,520 --> 00:36:50,320 เพื่อเป็นตัวแทนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ 541 00:36:53,680 --> 00:36:57,680 ภูเขามีบทบาทสำคัญ ในระบบความเชื่อของชาวมายา 542 00:36:57,760 --> 00:36:59,960 เป็นสัญลักษณ์ของแหล่งกำเนิด 543 00:37:02,800 --> 00:37:07,160 แต่ดูเหมือนโครงการก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ ของชาวมายาจะมีอะไรมากกว่านั้น 544 00:37:07,240 --> 00:37:09,240 โดยเฉพาะที่นี่ ในปาเลงเก 545 00:37:11,480 --> 00:37:14,760 ในปาเลงเก สิ่งปลูกสร้างบางแห่งถูกออกแบบ 546 00:37:14,840 --> 00:37:17,640 ตามการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ค่ะ 547 00:37:17,720 --> 00:37:18,600 ว้าว 548 00:37:19,720 --> 00:37:22,760 มีสิ่งปลูกสร้างสามหลัง ที่รู้จักในชื่อกลุ่มวิหารกางเขน 549 00:37:22,840 --> 00:37:26,600 มันถูกใช้เป็นที่สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ 550 00:37:26,680 --> 00:37:27,560 ครับ 551 00:37:28,560 --> 00:37:32,920 สิ่งปลูกสร้างพวกนี้ถูกจัดวาง ให้สอดคล้องกับครีษมายัน 552 00:37:33,000 --> 00:37:35,360 และวสันตวิษุวัต 553 00:37:37,760 --> 00:37:41,320 เห็นชัดว่านักดาราศาสตร์ที่เชี่ยวชาญมาก มีส่วนร่วมในการสร้าง 554 00:37:41,400 --> 00:37:42,440 สิ่งก่อสร้างทั้งหมดนี้ 555 00:37:42,520 --> 00:37:43,440 ค่ะ ถูกต้องเลย 556 00:37:47,320 --> 00:37:51,360 แต่ทำไมพวกเขาต้องลำบากลำบน จัดวางสิ่งก่อสร้างใหญ่โตพวกนี้ 557 00:37:51,440 --> 00:37:53,040 ให้ตรงกับปรากฏการณ์อายันและวิษุวัต 558 00:37:57,360 --> 00:38:01,360 เมื่อคิดถึงการจัดวางที่น่าทึ่งเหล่านี้ มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนครับ 559 00:38:03,360 --> 00:38:06,600 ถ้าคุณอยากรู้ว่าปาเลงเกคืออะไรกันแน่ 560 00:38:06,680 --> 00:38:09,040 คุณต้องไม่ดูแค่สถาปัตยกรรมของมัน 561 00:38:09,120 --> 00:38:11,520 แต่ต้องมองดูท้องฟ้าด้วย 562 00:38:20,720 --> 00:38:26,400 ผมมาที่วิหารดวงอาทิตย์ ในช่วงเวลาพิเศษของวันพิเศษ 563 00:38:28,240 --> 00:38:29,840 ในรุ่งสางของวันวสันตวิษุวัต 564 00:38:31,120 --> 00:38:36,520 เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นตรงทางทิศตะวันออก และตกตรงทางทิศตะวันตก 565 00:38:37,120 --> 00:38:39,680 แสดงถึงความสอดคล้องของจักรวาล 566 00:38:41,160 --> 00:38:42,840 ที่วิหารดวงอาทิตย์นี้ 567 00:38:42,920 --> 00:38:46,200 ดวงอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันนั้น สร้างปรากฏการณ์อันแสนพิเศษ 568 00:38:46,760 --> 00:38:49,920 ที่ชุมชนท้องถิ่นยังคงเฉลิมฉลองจนถึงทุกวันนี้ 569 00:38:50,880 --> 00:38:54,080 {\an8}ปรากฏการณ์วสันตวิษุวัตมีความสำคัญ 570 00:38:54,160 --> 00:38:56,120 {\an8}ต่อจิตวิญญาณของชาวมายา 571 00:38:56,720 --> 00:39:00,560 ตรงที่เราอยู่นี้คือสถานที่ที่สำคัญที่สุด 572 00:39:02,760 --> 00:39:05,240 และผมก็ได้ที่นั่งแถวหน้าไว้ชมมันเลย 573 00:39:34,480 --> 00:39:36,560 {\an8}คำบรรยายโดย มนัสวี ศักดิษฐานนท์