1 00:00:11,520 --> 00:00:15,280 (ปาเลงเก เม็กซิโก) 2 00:00:17,760 --> 00:00:20,720 วันนี้เป็นวันพิเศษมากในปฏิทินของชาวมายา 3 00:00:21,440 --> 00:00:24,680 มันเป็นวันวสันตวิษุวัตครับ ที่ดวงอาทิตย์ขึ้น 4 00:00:24,760 --> 00:00:27,800 ไม่ได้พามาแค่วันใหม่ แต่พาวัฏจักรชีวิตใหม่มาด้วย 5 00:00:31,200 --> 00:00:33,000 เมื่อดวงอาทิตย์พ้นจากแนวต้นไม้ 6 00:00:34,040 --> 00:00:37,520 ลำแสงของมันจะส่องไปยังหนึ่งในวิหาร ที่งดงามที่สุดของปาเลงเก 7 00:00:40,800 --> 00:00:44,240 นั่นคือวิหารดวงอาทิตย์ ซึ่งตั้งชื่อได้เหมาะสมที่สุด 8 00:00:45,560 --> 00:00:49,120 แค่การได้อาบแสงแดดอยู่ที่นี่ ก็ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษ 9 00:00:49,200 --> 00:00:52,840 เป็นการเชื่อมโยงจิตวิญญาณกับวิทยาศาสตร์ 10 00:00:52,920 --> 00:00:54,960 แบบที่โลกสมัยใหม่หลงลืมไปนานแล้ว 11 00:00:57,280 --> 00:01:00,880 ในช่วงเวลาที่สำคัญของปี อย่างวันนี้ 12 00:01:01,400 --> 00:01:05,000 ดวงอาทิตย์ขึ้นส่องสว่างมากกว่าแค่ขั้นบันไดวิหาร 13 00:01:06,240 --> 00:01:09,760 สถาปัตยกรรมของชาวมายา เป็นแหล่งรวบรวมความรู้โบราณครับ 14 00:01:10,280 --> 00:01:12,880 มันเชื่อมโยงท้องฟ้ากับพื้นดิน สวรรค์กับโลก 15 00:01:15,560 --> 00:01:18,000 เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น แสงอาทิตย์มักจะส่องผ่าน 16 00:01:18,080 --> 00:01:21,520 วิหารที่จัดวางมาอย่างเจาะจง เข้าไปยังพื้นที่ภายในวิหาร 17 00:01:21,600 --> 00:01:23,720 ที่จงใจออกแบบมาเพื่อรับลำแสงนั้น 18 00:01:25,560 --> 00:01:27,320 ในช่วงเหมายัน 19 00:01:27,400 --> 00:01:29,840 ดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือซากปรักหักพังบนยอดเขา 20 00:01:30,960 --> 00:01:33,280 และส่องเข้าไปในวิหารผ่านประตู 21 00:01:33,360 --> 00:01:37,320 ตรงที่เราอาจนึกภาพว่า มีนักบวชกำลังรออาบแสงนั้นอยู่ 22 00:01:38,520 --> 00:01:41,760 หกเดือนต่อมา ในวันครีษมายัน 23 00:01:42,400 --> 00:01:47,080 วันนี้วันเดียวเท่านั้นที่แสงอาทิตย์รุ่งสาง จะส่องต้องพีระมิดอีกแห่ง 24 00:01:47,160 --> 00:01:49,960 ก่อนลำแสงเส้นเล็กจะส่องไปยังมุมภายใน 25 00:01:52,400 --> 00:01:56,920 ขณะที่ในช่วงวิษุวัตทั้งสองครั้ง ดวงอาทิตย์จะขึ้นเหนือแอ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น 26 00:01:57,000 --> 00:02:00,840 ทางขอบฟ้าทิศตะวันออก และแสงสว่างจะส่องผ่านประตู 27 00:02:02,240 --> 00:02:06,000 เข้าไปในมุมหนึ่งอย่างแม่นยำ เป็นเวลานาน 40 นาที 28 00:02:06,080 --> 00:02:09,200 ทำให้เว้าอีกแห่งภายในวิหารส่องสว่าง 29 00:02:16,360 --> 00:02:20,640 สำหรับชาวมายา ปรากฏการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ต้องทำให้ 30 00:02:20,720 --> 00:02:22,240 ทุกคนที่ได้เห็นรู้สึกเกรงขามแน่นอน 31 00:02:25,640 --> 00:02:28,920 และมันไม่ได้เป็นช่วงเวลาพิเศษ สำหรับชาวมายาโบราณเท่านั้น 32 00:02:37,880 --> 00:02:41,840 ปาเลงเกเป็นสถานที่ที่มีความหมาย เชิงสัญลักษณ์มากๆ ค่ะ 33 00:02:43,520 --> 00:02:47,320 {\an8}การบูชาบรรพบุรุษในปาเลงเก ถูกถ่ายทอดผ่านสถาปัตยกรรม 34 00:02:47,400 --> 00:02:49,880 {\an8}และภูมิทัศน์ที่ถูกปรับเปลี่ยน 35 00:02:51,080 --> 00:02:53,640 มันเชื่อมโยงกับผู้คนในปัจจุบันด้วย 36 00:02:56,000 --> 00:03:00,360 วัฒนธรรมมายายังคงมีให้เห็นมากในปาเลงเก 37 00:03:03,880 --> 00:03:07,800 {\an8}นิโกลัส โลเปซ วาสเกซ นักบวชมายา ได้ทำพิธีกรรมที่นี่ 38 00:03:07,880 --> 00:03:09,560 {\an8}มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว 39 00:03:12,920 --> 00:03:18,960 พิธีกรรมที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ เป็นสัญลักษณ์แทนช่วงวสันตวิษุวัต 40 00:03:19,640 --> 00:03:22,360 วิษุวัตเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ 41 00:03:23,560 --> 00:03:25,760 มันเป็นเหตุผลที่พวกเขาสร้างวิหารขึ้น 42 00:03:26,480 --> 00:03:29,920 เป็นเหมือนการเชื่อมโยงกับทั้งโลก 43 00:03:34,240 --> 00:03:37,200 ในความเป็นจริง ดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมา 44 00:03:37,280 --> 00:03:42,480 เพื่อเป็นเครื่องมือไว้ตรวจจับและแสดงถึง ความสอดคล้องอันน่าพิศวงของจักรวาล 45 00:03:51,320 --> 00:03:54,760 แล้วอะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้ พวกเขาสนใจท้องฟ้าขนาดนี้ 46 00:03:54,840 --> 00:03:58,480 และพวกเขาได้รับความรู้ ด้านดาราศาสตร์ขั้นสูงนี้มาได้ยังไง 47 00:04:01,240 --> 00:04:06,560 เรากำลังมองมรดกที่สืบทอดมาจาก อารยธรรมที่เก่าแก่กว่านี้หรือเปล่า 48 00:04:08,440 --> 00:04:11,080 อารยธรรมที่ทิ้งร่องรอยของความรู้ขั้นสูงไว้ 49 00:04:11,160 --> 00:04:12,680 ทั่วทวีปอเมริกา 50 00:04:27,520 --> 00:04:31,800 {\an8}(หายนะอารยะธรรมโบราณ อเมริกา) 51 00:04:31,880 --> 00:04:34,440 {\an8}(ตอนที่หก) 52 00:04:41,080 --> 00:04:46,360 สิ่งปลูกสร้างที่น่าประทับใจที่สุด ในปาเลงเกตั้งอยู่ใจกลางเมือง 53 00:04:47,600 --> 00:04:48,960 คือพระราชวัง 54 00:04:52,240 --> 00:04:55,520 และที่ตั้งอยู่เหนือมัน คือสิ่งปลูกสร้างที่น่าหลงใหล 55 00:04:56,240 --> 00:05:00,080 ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของโลกมายา นั่นคือหอคอยที่มีหลายชั้น 56 00:05:02,800 --> 00:05:06,080 นักวิชาการยังคงเห็นที่ต่างกันไป เรื่องจุดประสงค์ของหอคอยนี้ 57 00:05:06,680 --> 00:05:08,520 สิ่งที่ทำให้สงสัยคือหลังคาครับ 58 00:05:09,240 --> 00:05:12,400 หลังคาที่เราเห็นในวันนี้ เป็นของที่บูรณะในสมัยใหม่ทั้งหมด 59 00:05:12,480 --> 00:05:15,280 ซึ่งอาจไม่ถูกต้องตามที่มันเคยเป็น 60 00:05:16,480 --> 00:05:20,600 รูปถ่ายจากการขุดค้นก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า หอคอยนี้เป็นซากปรักหักพังไม่มีหลังคา 61 00:05:21,600 --> 00:05:23,840 แล้วในสมัยโบราณ มันมีหลังคาหรือเปล่า 62 00:05:25,480 --> 00:05:29,840 หอคอยดั้งเดิมอาจถูกสร้างขึ้น ให้มีแท่นสังเกตการณ์อยู่ด้านบน 63 00:05:30,720 --> 00:05:33,080 ซึ่งอาจอธิบายสิ่งที่พบภายในหอคอย 64 00:05:34,600 --> 00:05:37,200 เรื่องสำคัญก็คือ มันมีห้องหนึ่งที่มีอักษรภาพ 65 00:05:37,280 --> 00:05:41,200 ที่เป็นสัญลักษณ์ของดาวเคราะห์ ดวงที่สำคัญที่สุดของชาวมายาครับ 66 00:05:41,800 --> 00:05:42,800 นั่นคือดาวศุกร์ 67 00:05:44,880 --> 00:05:47,680 นักวิชาการได้ยืนยันจากข้อความของชาวมายา 68 00:05:48,360 --> 00:05:52,840 ว่าสัญลักษณ์นี้เป็นตัวแทนของดาวเคราะห์ ที่สว่างที่สุดในท้องฟ้ายามค่ำคืนจริงๆ 69 00:05:54,960 --> 00:06:00,040 งั้นเป็นไปได้ไหมว่าหอคอยนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้นักดาราศาสตร์ใช้งาน 70 00:06:02,480 --> 00:06:07,080 ผมว่าเหมือนมันถูกตั้งใจสร้างขึ้น เพื่อใช้สังเกตการณ์ท้องฟ้า 71 00:06:07,160 --> 00:06:12,400 ถ้างั้นหอคอยที่ออกแบบมาเพื่อสังเกตการณ์ท้องฟ้า 72 00:06:12,480 --> 00:06:14,240 ก็ไม่น่ามีหลังคาน่ะสิ 73 00:06:14,320 --> 00:06:17,640 และอักษรภาพของดาวศุกร์ในหอคอย 74 00:06:17,720 --> 00:06:20,640 ก็ยืนยันว่าหอคอยนี้ถูกสร้างขึ้น เพื่อใช้สังเกตการณ์ท้องฟ้า 75 00:06:20,720 --> 00:06:25,240 แต่บนท้องฟ้ามีดาวเคราะห์ตั้งมากมาย ทำไมถึงเลือกดาวศุกร์ล่ะ 76 00:06:27,360 --> 00:06:32,160 มันอาจเกี่ยวกับหนึ่งในบุคคลในตำนาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวมายา 77 00:06:36,280 --> 00:06:41,640 เทพเจ้าและเทพธิดาในจักรวาลวิทยามายา มักมีลักษณะคล้ายมนุษย์จนน่าแปลกใจ 78 00:06:41,720 --> 00:06:48,160 บางครั้งก็น่ารัก บางครั้งก็น่ากลัว บางครั้งก็ลึกลับมาก 79 00:06:48,680 --> 00:06:52,520 เทพเจ้าที่ชื่อว่ากูกูลคาน ครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ 80 00:06:53,120 --> 00:06:55,640 เขาไม่เพียงมีลักษณะที่ว่ามาทั้งหมด 81 00:06:55,720 --> 00:06:59,320 แต่เขาเคยถูกเอ่ยถึงว่าเป็นดาวเคราะห์ ที่สว่างที่สุดในท้องฟ้าด้วย 82 00:07:02,960 --> 00:07:07,880 ตำนานกล่าวว่ากูกูลคานมาถึง หลังเกิดหายนะครั้งใหญ่ 83 00:07:08,520 --> 00:07:10,080 พร้อมด้วยผู้ติดตาม 84 00:07:11,440 --> 00:07:15,720 เขาเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ ที่สอนเรื่องการปกครอง 85 00:07:16,320 --> 00:07:20,520 การจัดระเบียบอารยธรรม การปลูกข้าวโพด 86 00:07:21,440 --> 00:07:23,920 และการสร้างอนุสรณ์สถานหินขนาดใหญ่ 87 00:07:25,240 --> 00:07:27,560 แม้หลังจากพวกเขาไม่ได้อยู่กับชาวมายาแล้ว 88 00:07:28,400 --> 00:07:31,360 กูกูลคานยังคงได้รับการบูชาบนท้องฟ้า 89 00:07:31,880 --> 00:07:36,640 ที่ที่เขาปรากฏกายในรูปแบบดาวเคราะห์ ที่เรารู้จักกันในวันนี้ว่าดาวศุกร์ 90 00:07:42,760 --> 00:07:44,520 ทั่วโลกมายา 91 00:07:44,600 --> 00:07:47,160 ยังมีสิ่งที่แสดงถึงกูกูลคานอยู่ในที่อื่นๆ ด้วย 92 00:07:47,880 --> 00:07:51,640 {\an8}และในสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ง ความทรงจำถึงเขา 93 00:07:51,720 --> 00:07:55,680 {\an8}ยังเชื่อมโยงกับช่วงเวลาที่สำคัญมาก ของวสันตวิษุวัตด้วย 94 00:07:56,480 --> 00:08:00,800 ที่ชิเชน อิตซาในยูกาตัน ที่วิหารกูกูลคาน 95 00:08:00,880 --> 00:08:04,080 ถ้าเรามองไปที่พีระมิดนั้น สิ่งที่เราเห็น 96 00:08:04,160 --> 00:08:08,200 คือบันไดด้านเหนือของพีระมิด ที่มีหัวของงูขนาดใหญ่ 97 00:08:08,280 --> 00:08:12,680 อยู่ตรงฐานบันได และราวบันไดที่ดูเรียบง่าย 98 00:08:12,760 --> 00:08:14,640 ไม่มีอะไรตกแต่งอยู่เลย 99 00:08:14,720 --> 00:08:18,560 แต่ในวันวสันตวิษุวัต เมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า 100 00:08:19,480 --> 00:08:24,520 พีระมิดถูกจัดวางในตำแหน่งเหมาะเจาะ ทำให้เงาที่เกิดจากมุมของพีระมิด 101 00:08:24,600 --> 00:08:28,640 ทอดลงมาบนบันไดนั้น ทำให้เกิดเป็นรูปร่างของงู 102 00:08:28,720 --> 00:08:31,840 ทำให้หัวของงูถูกเติมเต็ม 103 00:08:31,920 --> 00:08:35,960 ด้วยเงาร่างกายงูที่เป็นคลื่นๆ 104 00:08:36,040 --> 00:08:38,840 ที่แหละครับคือการที่กูกูลคานมาปรากฏตัว 105 00:08:42,640 --> 00:08:46,040 ในส่วนต่างๆ ของเม็กซิโก กูกูลคานไม่ได้เป็นที่รู้จักแค่ในชื่อนี้ 106 00:08:46,600 --> 00:08:49,360 แต่ชื่อที่คนรู้จักมากที่สุด อาจเป็นเควตซาลโคลาเทิล 107 00:08:50,080 --> 00:08:53,800 ทุกชื่อนี้มีความหมายว่า "งูขนหรืองูขนนก" 108 00:08:54,840 --> 00:08:58,240 เราอาจจินตนาการว่ากูกูลคานเป็นนักเดินทาง 109 00:08:58,320 --> 00:09:01,480 ที่เปลี่ยนชื่อไปตามท้องถิ่นทุกที่ที่เดินทางไป 110 00:09:03,560 --> 00:09:08,040 เราเคยเจอบุคคลที่คล้ายกันนี้ในเปรู เป็นผู้ที่มีชื่อว่า วิราโคชา 111 00:09:09,080 --> 00:09:12,080 ในเมโสโปเตเมีย เขาถูกเรียกว่าโอแอนเนส 112 00:09:12,160 --> 00:09:14,320 และในอียิปต์ เขาถูกเรียกว่าโอซิริส 113 00:09:15,680 --> 00:09:17,680 แต่เนื้อเรื่องยังคงเหมือนเดิม 114 00:09:19,080 --> 00:09:22,400 บุคคลทรงอำนาจ ที่ปรากฏตัวหลังเกิดภัยพิบัติทั่วโลก 115 00:09:23,360 --> 00:09:26,960 และมอบของขวัญแห่งอารยธรรม ให้กับผู้คนยุคโบราณ 116 00:09:30,680 --> 00:09:34,480 การให้วีรบุรุษด้านอารยธรรมของพวกเขา เป็นดาวศุกร์ 117 00:09:35,120 --> 00:09:38,360 อาจอธิบายเรื่องความหลงใหลของชาวมายา 118 00:09:39,120 --> 00:09:42,160 ที่คอยติดตามการเคลื่อนไหว ของดาวเคราะห์ดวงนี้บนท้องฟ้ายามค่ำคืน 119 00:09:43,400 --> 00:09:47,400 การศึกษาดาวศุกร์ของพวกเขา มันน่าตะลึงมากครับ 120 00:09:47,480 --> 00:09:51,280 ทุกๆ ประมาณ 584 วัน 121 00:09:51,360 --> 00:09:53,840 ดาวศุกร์จะปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิม 122 00:09:53,920 --> 00:09:58,760 และชาวมายาก็มีวิธีคำนวณที่แม่นยำ 123 00:09:58,840 --> 00:10:01,760 เรื่องคาบการโคจรซินอดิกของดาวศุกร์ 124 00:10:02,840 --> 00:10:05,160 และการที่พวกเขาทำการคำนวณนี้ได้ 125 00:10:05,240 --> 00:10:08,720 เป็นเพราะความสำเร็จที่น่าทึ่งที่สุด อย่างหนึ่งของชาวมายา 126 00:10:09,240 --> 00:10:12,560 เช่นเดียวกับงานหินสุดอัศจรรย์ของเปรูโบราณ 127 00:10:13,080 --> 00:10:15,480 และเภสัชวิทยาอันชาญฉลาดของแอมะซอนโบราณ 128 00:10:17,560 --> 00:10:22,320 มันอาจเป็นมรดกความรู้ที่ถูกส่งต่อ มาจากยุคก่อนประวัติศาสตร์อันไกลโพ้น 129 00:10:22,400 --> 00:10:24,920 โดยอารยธรรมลึกลับหนึ่งในอดีต 130 00:10:34,080 --> 00:10:35,880 {\an8}(ดร.เอ็ดวิน บาร์นฮาร์ต นักโบราณคดี) 131 00:10:35,960 --> 00:10:41,000 {\an8}ดร.เอ็ดวิน บาร์นฮาร์ตทำการสำรวจ และศึกษาปาเลงเกมากว่า 25 ปี 132 00:10:42,920 --> 00:10:45,480 และเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในโลกนี้ 133 00:10:46,000 --> 00:10:48,360 ที่อ่านอักษรโบราณของชาวมายาได้ 134 00:10:51,960 --> 00:10:56,120 เราจะอ่านอักษรภาพเหล่านี้จากบนลงล่าง โดยอ่านสองคอลัมน์พร้อมกัน 135 00:10:56,200 --> 00:10:59,640 เราจะอ่านขวาซ้าย ขวาซ้าย จนถึงล่างสุดของสองคอลัมน์แรก 136 00:10:59,720 --> 00:11:03,520 จากนั้นก็อ่านคอลัมน์สามสี่ลงมา ลำดับการอ่านเป็นแบบนี้ครับ 137 00:11:03,600 --> 00:11:06,920 ระบบตัวเลขที่ชาวมายาใช้ 138 00:11:07,000 --> 00:11:09,920 เทียบกับระบบตัวเลขที่เราใช้ต่างกันยังไงครับ 139 00:11:10,440 --> 00:11:12,120 ระบบของเราคล้ายกันมากครับ 140 00:11:12,200 --> 00:11:14,960 เรามีระบบฐานสิบ ที่เรียกว่าระบบทศนิยม 141 00:11:15,040 --> 00:11:18,800 คุณกับผม เราเขียนตัวเลขใดๆ ก็ได้ 142 00:11:19,520 --> 00:11:23,240 เขียนได้แบบไม่มีที่สิ้นสุด โดยใช้ตัวเลขสิบหลัก 143 00:11:23,320 --> 00:11:26,200 เรามีเลขศูนย์ และก็เลขหนึ่งถึงเก้า 144 00:11:26,720 --> 00:11:28,560 และพอเราเขียนไปถึงเลขสิบ 145 00:11:28,640 --> 00:11:31,640 เราก็ใส่เลขศูนย์ตรงหลักหน่วย และใส่เลขหนึ่งตรงหลักสิบ 146 00:11:31,720 --> 00:11:33,840 ส่วนพวกเขาใช้เลขฐาน 20 147 00:11:36,680 --> 00:11:39,360 มันเป็นระบบที่คล้ายกับรหัสมอร์สที่มีขีดและจุด 148 00:11:40,480 --> 00:11:43,040 และสัญลักษณ์เปลือกหอยที่หมายถึงเลขศูนย์ 149 00:11:45,040 --> 00:11:48,400 - จุดหมายถึงหนึ่ง ขีดหมายถึงห้า - ครับ 150 00:11:49,280 --> 00:11:53,640 ดังนั้นถ้ามีสามขีด กับสี่จุด นั่นก็คือ 19 151 00:11:55,120 --> 00:11:57,400 วิธีที่พวกเขาเขียน 20 คือใส่เครื่องหมายศูนย์เข้าไป 152 00:11:58,000 --> 00:12:00,320 แล้วก็ใส่จุด บนตำแหน่ง 20 153 00:12:00,920 --> 00:12:04,480 มันเป็นระบบวางตำแหน่งการนับที่ทำให้พวกเขา 154 00:12:04,560 --> 00:12:06,440 สามารถคิดเลขในระดับที่แตกต่างออกไปได้ 155 00:12:07,760 --> 00:12:09,560 ระบบของเรายอดเยี่ยม 156 00:12:09,640 --> 00:12:14,640 เราสามารถคำนวณได้ไม่จำกัด แต่มันใช้สิบสัญลักษณ์ 157 00:12:14,720 --> 00:12:17,560 แต่ชาวมายาทำแบบเดียวกันได้ โดยใช้เพียงสามสัญลักษณ์ 158 00:12:17,640 --> 00:12:19,200 ดังนั้นในแง่นี้ 159 00:12:19,800 --> 00:12:21,960 ระบบของพวกเขาสง่างามกว่าของเรามาก 160 00:12:25,760 --> 00:12:27,840 ชาวมายาไม่เพียงแต่ใช้เลขศูนย์เป็น 161 00:12:28,440 --> 00:12:30,440 แต่ยังเข้าใจการใช้ระบบตำแหน่งของตัวเลข 162 00:12:31,440 --> 00:12:33,880 ในขณะที่ชาวกรีกและโรมันโบราณ 163 00:12:33,960 --> 00:12:37,240 ที่แม้จะคิดค้นอะไรสำเร็จมากมาย แต่ก็ยังไม่เข้าใจสองเรื่องนี้ 164 00:12:39,360 --> 00:12:42,240 ระบบของพวกเขายอดเยี่ยมครับ ชาวโรมันเองก็ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ 165 00:12:42,320 --> 00:12:45,800 แต่ระบบตัวเลขของพวกเขาห่วยแตก เพราะแบบนั้นพวกเขาถึงสร้างลูกคิดขึ้นมา 166 00:12:47,800 --> 00:12:52,000 ระบบตัวเลขขั้นสูงของชาวมายา ไม่ใช่แค่วิธีการนับที่สง่างามเท่านั้น 167 00:12:52,600 --> 00:12:53,960 สำหรับนักดาราศาสตร์ชาวมายา 168 00:12:54,040 --> 00:12:57,880 ระบบนี้เป็นกุญแจสำคัญที่ใช้คำนวณ และทำนายการเคลื่อนไหววัตถุบนท้องฟ้า 169 00:12:57,960 --> 00:13:02,760 เช่นดาวศุกร์ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ได้อย่างแม่นยำจนน่าทึ่ง 170 00:13:03,800 --> 00:13:07,800 และความรู้ทางคณิตศาสตร์เดียวกันนี้ ยังเป็นพื้นฐาน 171 00:13:07,880 --> 00:13:10,960 ของสิ่งประดิษฐ์ที่น่าประทับใจที่สุด ของพวกเขาอีกด้วย 172 00:13:11,840 --> 00:13:15,160 ความสำเร็จที่น่างงงวยที่สุดของชาวมายาโบราณ 173 00:13:15,240 --> 00:13:19,000 คือระบบการวัดเวลาที่แม่นยำสุดๆ 174 00:13:19,520 --> 00:13:22,600 ที่พวกเขาเอามาใช้กับหนึ่งในปฏิทินที่ซับซ้อนที่สุด 175 00:13:22,680 --> 00:13:24,000 ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ 176 00:13:26,560 --> 00:13:29,440 ปฏิทิน แน่นอนว่ามีความซับซ้อนมาก 177 00:13:30,040 --> 00:13:34,080 คุณช่วยอธิบายได้ไหมครับ ปฏิทินมายามันเกี่ยวกับอะไร 178 00:13:34,160 --> 00:13:38,880 ปฏิทิน… ปีสุริยคติมี 365 วัน 179 00:13:38,960 --> 00:13:39,920 ครับ 180 00:13:40,000 --> 00:13:43,960 ปฏิทินที่พวกเขาให้ความสำคัญจริงๆ คือปฏิทิน 260 วัน 181 00:13:44,040 --> 00:13:48,440 แต่พวกเขายังมีปฏิทินรอบยาวด้วย มันเป็นการนับเวลาต่อเนื่องเป็นเส้นตรง 182 00:13:51,040 --> 00:13:55,320 ชาวมายาคอยดูวันสำคัญ โดยใช้ปฏิทินสามชุดรวมกัน 183 00:13:56,040 --> 00:13:58,320 แต่ละชุดก็มีจุดประสงค์เฉพาะของตัวเอง 184 00:14:00,920 --> 00:14:05,320 {\an8}ปฏิทินศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา จะแบ่งนับเป็นวงจร 13 ช่วง 185 00:14:05,400 --> 00:14:10,120 {\an8}โดยแต่ละช่วงจะนาน 20 วัน รวมทั้งหมดเป็น 260 วัน 186 00:14:11,640 --> 00:14:14,120 {\an8}ปฏิทินที่สองเอาไว้ดูปีสุริยคติ 187 00:14:14,720 --> 00:14:18,120 {\an8}แต่มันประกอบด้วย 18 ช่วง แต่ละช่วงมี 20 วัน 188 00:14:18,840 --> 00:14:23,400 {\an8}และเพิ่มไปห้าวันเพื่อให้ครบ 365 วันต่อปี เหมือนปฏิทินของเรา 189 00:14:24,880 --> 00:14:26,320 {\an8}เมื่อใช้ควบคู่กัน 190 00:14:26,400 --> 00:14:30,760 ปฏิทินทั้งสองนี้ทำให้แต่ละวันในช่วงเวลา 52 ปี มีชื่อเรียกที่ไม่ซ้ำกันเลย 191 00:14:31,320 --> 00:14:35,600 แล้วพอครบ 52 ปี ชื่อของวันจะกลับมาเริ่มต้นใหม่ 192 00:14:38,040 --> 00:14:42,720 แต่สิ่งที่ทำให้ระบบปฏิทินของชาวมายา ไม่เหมือนใคร ก็คือปฏิทินอันที่สาม 193 00:14:43,240 --> 00:14:44,800 ที่เรียกว่าปฏิทินรอบยาว 194 00:14:45,360 --> 00:14:47,680 ที่เอาไว้ตามดูช่วงเวลาที่ยาวนานกว่ามาก 195 00:14:50,000 --> 00:14:52,400 อธิบายปฏิทินรอบยาวให้ฟังเพิ่มหน่อยครับ 196 00:14:52,480 --> 00:14:54,960 มันคืออะไร ทำงานยังไง 197 00:14:55,680 --> 00:14:57,600 มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร 198 00:14:58,120 --> 00:15:01,600 มันเป็นปฏิทินที่น่าสนใจที่สุดครับ เพราะชาวมายามีความเชื่อวัฏจักรมาก 199 00:15:01,680 --> 00:15:05,000 แต่ปฏิทินนี้เป็นปฏิทินเดียวที่เป็นเส้นตรง 200 00:15:05,080 --> 00:15:10,560 มันใช้ดูเวลาย้อนหลังและไปข้างหน้า ในแนวเส้นตรง ที่ลากยาวไปสู่อนันต์ 201 00:15:11,240 --> 00:15:14,160 สัญลักษณ์ของปฏิทินรอบยาว วัดการเดินทางของเวลา 202 00:15:14,240 --> 00:15:19,920 ไม่ใช่แค่ปี ทศวรรษ หรือศตวรรษ แต่เป็นพันๆ ปีเลย 203 00:15:20,000 --> 00:15:22,880 มันล้วงลึกเข้าไปทั้งอดีตและอนาคต 204 00:15:23,720 --> 00:15:28,600 จริงไหมครับที่เนื้อหาส่วนใหญ่ ที่เราอ่านจากอักษรมายา 205 00:15:28,680 --> 00:15:29,960 จะต้องมีปฏิทินมาเกี่ยวตลอด 206 00:15:30,040 --> 00:15:33,840 ครับ นี่คือตัวอย่างเหมาะเลย พอเราดูหน้านี้ 207 00:15:34,440 --> 00:15:38,080 ทุกอย่างที่คุณเห็น ทั้งขีดและจุดและเจ้าพวกนี้ 208 00:15:38,160 --> 00:15:40,480 นี่คือข้อมูลปฏิทินทั้งนั้น 209 00:15:41,200 --> 00:15:42,120 โดยรวมแล้ว 210 00:15:42,200 --> 00:15:47,280 สองในสามของอักษรมายาทั้งหมด เป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับปฏิทินครับ 211 00:15:49,320 --> 00:15:51,480 หนึ่งในคำอธิบายสำหรับความหลงใหลนี้ 212 00:15:51,560 --> 00:15:55,320 ก็คือชาวมายาโบราณเชื่อว่าโลกเคยผ่านวัฏจักร 213 00:15:55,400 --> 00:15:57,400 การสร้างและทำลายมาซ้ำๆ 214 00:16:03,160 --> 00:16:05,480 และเชื่อว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในวัฏจักรที่สี่ 215 00:16:08,360 --> 00:16:10,560 คล้ายกับชาวโฮปีโบราณเลย 216 00:16:10,640 --> 00:16:13,520 ที่เชื่อว่าพวกเขาก็อยู่ในโลกที่สี่ 217 00:16:14,040 --> 00:16:15,080 แต่ที่แตกต่างกัน 218 00:16:15,160 --> 00:16:18,520 คือชาวมายาสามารถระบุวันที่เจาะจง ในวัฏจักรของพวกเขาได้ 219 00:16:19,720 --> 00:16:21,880 เหตุการณ์ทั้งหมดตามดูได้ ด้วยการใช้ปฏิทินรอบยาว 220 00:16:24,160 --> 00:16:26,000 แล้วตรงนี้คืออะไรครับ 221 00:16:26,520 --> 00:16:28,640 นี่เป็นรูปที่สวยมาก 222 00:16:28,720 --> 00:16:31,720 เป็นหนึ่งในไม่กี่รูปที่บอกเราชัดเจน 223 00:16:32,320 --> 00:16:35,600 ว่าช่วงเริ่มต้นของการสร้างครั้งที่สี่คือวันที่เท่าไร 224 00:16:36,120 --> 00:16:41,200 มันเขียนว่า 13-0-0-0-0 225 00:16:41,800 --> 00:16:47,760 และในวันถัดไป นี่จะรีเซต และกลายเป็น 0-0-0-0-1 226 00:16:47,840 --> 00:16:51,520 ครับ แล้วถ้าเทียบกับระบบนับวัน ที่เราใช้ในปัจจุบันล่ะ 227 00:16:51,600 --> 00:16:56,600 - คือวันที่ 13 สิงหาคม 3,114 ปีก่อนคริสตกาล - ครับ 228 00:16:56,680 --> 00:16:59,760 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของยุค ของโลกที่เราอาศัยอยู่ตอนนี้สินะ 229 00:16:59,840 --> 00:17:02,000 ครับ และคำถามก็คือ 230 00:17:02,720 --> 00:17:07,760 ทำไมมันถึงเริ่มต้นที่ 3,114 ปีก่อนคริสตกาล 231 00:17:07,840 --> 00:17:12,560 นั่นเป็นคำถามที่ผู้เชี่ยวชาญมากมาย พยายามหาคำตอบมาหลายศตวรรษ 232 00:17:12,640 --> 00:17:14,560 แต่ก็ยังไม่มีคำตอบมากพอ 233 00:17:14,640 --> 00:17:19,000 ครับ ผมต้องบอกว่าผมสนใจวันที่ที่บอกมามาก 234 00:17:19,640 --> 00:17:24,120 เพราะอารยธรรมโบราณมากมาย ถ้าเราตามดูบันทึกทางโบราณคดี 235 00:17:24,200 --> 00:17:26,360 มันก็มีช่วงเวลาเริ่มต้นราวๆ ช่วงนั้นเลย 236 00:17:26,800 --> 00:17:28,480 {\an8}(กิซ่า อียิปต์) 237 00:17:28,560 --> 00:17:30,680 {\an8}อย่างอียิปต์โบราณ คือราว 3,000 ปีก่อนคริสตกาล 238 00:17:30,760 --> 00:17:33,040 {\an8}อารยธรรมซูเมอร์ก็ราวๆ เดียวกัน 239 00:17:33,120 --> 00:17:34,520 {\an8}ครับ ในเอเชียก็ด้วย 240 00:17:34,600 --> 00:17:35,640 {\an8}(โมเฮนโจ-ดาโร ปากีสถาน) 241 00:17:35,720 --> 00:17:37,640 {\an8}เหมือนกับว่าโลกตื่นขึ้นตอนนั้นเลย 242 00:17:37,720 --> 00:17:39,440 และชาวมายาก็ระบุวันที่เอาไว้ 243 00:17:39,520 --> 00:17:40,560 มันน่าสนใจมากครับ 244 00:17:42,680 --> 00:17:44,560 คุณคิดว่าระบบนี้มีขึ้นเมื่อไรครับ 245 00:17:45,080 --> 00:17:49,000 เราย้อนรอยต้นกำเนิดการคำนวณ ที่น่าทึ่งนี้ได้ไกลแค่ไหน 246 00:17:49,600 --> 00:17:51,920 นี่เป็นคำถามที่ยากนะ ผมเองก็คิดเรื่องนี้เยอะมาก 247 00:17:52,000 --> 00:17:56,400 และผมคงตอบว่าเมื่อมนุษย์ เริ่มสลักอะไรๆ ลงบนหินเลยละมั้ง 248 00:17:57,320 --> 00:17:58,920 นี่ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรกของพวกเขาแน่ 249 00:17:59,000 --> 00:18:02,320 ครับ แล้ววันที่เก่าแก่ที่สุด ที่คุณย้อนไปได้คือเท่าไรครับ 250 00:18:02,400 --> 00:18:05,600 มีสองสามเลขครับ เลขนึงย้อนกลับไป 33,000 ปีเลย 251 00:18:06,200 --> 00:18:09,840 ส่วนอีกเลขนึง พาเราย้อนกลับไป ยังวันที่ที่มีความเฉพาะ 252 00:18:09,920 --> 00:18:13,560 มันพาเรากลับไปห้าล้านปีเป๊ะๆ 253 00:18:13,640 --> 00:18:17,560 - ห้าล้านปีก่อนเลย - ครับ คุณคงคำนวณเอาได้นะ 254 00:18:19,080 --> 00:18:23,840 ผมคิดว่าจุดประสงค์ของปฏิทินรอบยาวคือ 255 00:18:23,920 --> 00:18:26,280 เพื่อแสดงถึงธรรมชาติของเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุด 256 00:18:29,160 --> 00:18:30,720 ควบคู่ไปกับวันที่เหล่านี้ 257 00:18:30,800 --> 00:18:33,360 มีตัวละครสำคัญที่อยู่บนท้องฟ้าตอนกลางคืน 258 00:18:33,440 --> 00:18:36,320 ที่คอยปรากฏขึ้นในข้อความเรื่อยๆ นั่นก็คือดาวศุกร์ 259 00:18:36,960 --> 00:18:41,080 เป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวกับที่เกี่ยวข้อง กับกูกูลคาน เทพของมายา 260 00:18:44,920 --> 00:18:50,240 ดาวศุกร์เลยถูกรวมเข้ากับ ระบบปฏิทินของชาวมายาสินะครับ 261 00:18:50,320 --> 00:18:51,760 พวกเขาคอยดูมันครั้งแล้วครั้งเล่า 262 00:18:51,840 --> 00:18:58,000 ที่จริงพวกเขาได้รวมวัฏจักร ของดาวศุกร์ห้าวัฏจักรเข้าด้วยกัน 263 00:18:58,560 --> 00:19:01,280 ทั้งหมด 104 ช่วงที่แตกต่างกัน เพื่อให้คอยตามดูดาวศุกร์ 264 00:19:01,360 --> 00:19:02,440 ได้ถูกต้องและแม่นยำ 265 00:19:04,480 --> 00:19:09,200 ชาวมายาหลงใหลในจักรวาลและเวลา 266 00:19:10,080 --> 00:19:13,560 สองเรื่องนี้เป็นรากฐาน ของวัฒนธรรมมายาเลยครับ 267 00:19:16,200 --> 00:19:20,680 ความหลงใหลในสองเรื่องนี้บ่งบอกว่า ชาวมายามีความเข้าใจลึกซึ้ง 268 00:19:20,760 --> 00:19:24,080 เรื่องความเก่าแก่ของโลกอันกว้างใหญ่ของเรา 269 00:19:26,120 --> 00:19:30,400 พวกเขาทำสิ่งที่ซอฟต์แวร์ คอมพิวเตอร์สมัยใหม่ทำได้ 270 00:19:30,480 --> 00:19:32,320 - ครับ - พวกเขาทำได้ยังไงครับ 271 00:19:32,880 --> 00:19:34,840 ผมคิดว่าพวกเขาเป็น 272 00:19:34,920 --> 00:19:37,360 หนึ่งในนักคณิตศาสตร์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกโบราณเลย 273 00:19:37,440 --> 00:19:39,680 พวกเขาคำนวณตัวเลขไปเรื่อยๆ 274 00:19:39,760 --> 00:19:42,480 พวกเขาทำการคำนวณเป็นล้านๆ วัน 275 00:19:42,560 --> 00:19:43,640 น่าทึ่งจริงๆ 276 00:19:45,160 --> 00:19:48,120 ถ้าพวกเขาใช้การนับวันแบบนั้น คุณต้องถามตัวเองแล้วว่า 277 00:19:48,200 --> 00:19:50,160 ทำไมพวกเขาต้องทำแบบนั้นด้วย 278 00:19:51,280 --> 00:19:53,440 - ผมคิดว่า… - มันคือการคาดเดา 279 00:19:53,520 --> 00:19:56,200 เมื่อพวกเรา นักโบราณคดี ทบทวนสิ่งที่รู้มาอย่างจริงจัง 280 00:19:56,280 --> 00:19:58,320 ทุกอย่างมันเป็นเพียงการคาดเดาแหละครับ 281 00:19:58,400 --> 00:20:01,720 เรากำลังทำงานบนทฤษฎี ในสายงานผม ข้อเท็จจริงมีน้อยมากนะ 282 00:20:06,800 --> 00:20:11,200 ผมมีทฤษฎีครับ ที่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคาดเดาเช่นกัน 283 00:20:13,160 --> 00:20:16,480 สำหรับผม ปฏิทินมายาเหมือนเป็นสิ่งประดิษฐ์ ที่ไม่เข้ากับยุคสมัยของพวกเขา 284 00:20:17,000 --> 00:20:20,640 ผมรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นมรดกที่ชาวมายาได้รับ 285 00:20:20,720 --> 00:20:24,040 มาจากวัฒนธรรมที่ต้องใช้ตัวเลขมหาศาล 286 00:20:25,880 --> 00:20:28,840 อารยธรรมที่สูญหายไป ที่ถ่ายทอดความรู้ 287 00:20:28,920 --> 00:20:30,920 เรื่องธรรมชาติของวัฏจักรเวลา 288 00:20:31,760 --> 00:20:34,360 ด้วยการแฝงมันไว้ในตำนาน และประเพณีทางจิตวิญญาณ 289 00:20:35,400 --> 00:20:40,280 ซึ่งปรากฏขึ้นอย่างน่าทึ่งในหลายพันปีต่อมา 290 00:20:40,360 --> 00:20:43,440 ในกลไกอันลึกลับของปฏิทินมายา 291 00:20:44,680 --> 00:20:46,160 แต่เพื่อจุดประสงค์อะไรล่ะ 292 00:20:46,240 --> 00:20:50,120 ผมคิดว่าคำตอบทั้งหมด เกี่ยวข้องกับแนวคิดของชาวมายา 293 00:20:50,200 --> 00:20:52,600 เรื่องความไม่เที่ยงของยุคสมัยของโลก 294 00:20:54,240 --> 00:20:58,320 บางครั้งผมคิดว่าปฏิทินมายา เป็นเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ใช้คำนวณ 295 00:20:58,400 --> 00:21:01,200 ไม่ใช่คำนวณจุดสิ้นสุดของโลก แต่เป็นจุดสิ้นสุดของยุคยุคหนึ่ง 296 00:21:02,320 --> 00:21:05,680 ปฏิทินมายาพรรณนาถึงการทำลายล้าง 297 00:21:05,760 --> 00:21:07,440 และการสร้างโลกใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า 298 00:21:07,520 --> 00:21:10,160 ยุคสมัยของโลกเกิดขึ้นและสิ้นสุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า 299 00:21:11,680 --> 00:21:14,160 แต่ที่ชาวมายาจินตนาการว่าโลกจะสิ้นสุด 300 00:21:14,240 --> 00:21:18,640 ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 นั้น ไม่เคยถูกต้อง 301 00:21:19,600 --> 00:21:24,560 แต่พวกเขาก็เห็นเหตุการณ์ความวุ่นวาย และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 302 00:21:25,160 --> 00:21:27,720 ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของเรา 303 00:21:29,600 --> 00:21:35,400 จุดสิ้นสุดของยุคถูกคาดการณ์ไว้ว่า จะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 80 ปี 304 00:21:35,480 --> 00:21:38,840 สักจุดตั้งแต่ราวปี 2000 ถึงปี 2080 305 00:21:40,040 --> 00:21:43,560 และมันน่าแปลกที่นั่นคือสิ่งที่ โลกปัจจุบันกำลังประสบจริงๆ 306 00:21:43,640 --> 00:21:47,080 เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย ความไม่แน่นอน และการเปลี่ยนแปลง 307 00:21:48,720 --> 00:21:53,200 เป็นไปได้ไหมที่ปฏิทินมายาจะทำนายจุดสิ้นสุด ของยุคปัจจุบันของเราได้แม่น 308 00:21:54,880 --> 00:21:57,360 บางทีเราควรเงยหน้ามองท้องฟ้า 309 00:21:57,440 --> 00:21:59,760 คอยจับตาดูดวงดาวและดาวเคราะห์ แบบที่พวกเขาทำ 310 00:22:01,560 --> 00:22:04,600 เผื่อว่าอาจมีหายนะที่เปลี่ยนแปลงโลก กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง 311 00:22:12,800 --> 00:22:17,480 แต่ที่ชาวมายาสนใจท้องฟ้าไม่ใช่เพราะ พวกเขาแค่อยากทำนายอนาคต 312 00:22:20,840 --> 00:22:25,200 ยังมีหลักฐานอยู่ที่ปาเลงเก ที่ดร.บาร์นฮาร์ตอยากให้ผมดู 313 00:22:27,200 --> 00:22:29,880 วิวจากตรงนี้ เป็นจุดเหมาะเจาะ 314 00:22:29,960 --> 00:22:31,520 ที่คุณจะเห็นเส้นขอบฟ้า 315 00:22:34,840 --> 00:22:39,240 ที่ขอบทิศตะวันตกเฉียงใต้ของลาน ตรงข้ามกับวิหารดวงอาทิตย์ 316 00:22:39,320 --> 00:22:42,680 ดร.บาร์นฮาร์ตพาผมไปยัง สิ่งก่อสร้างน่าเกรงขามอีกแห่ง 317 00:22:42,760 --> 00:22:44,960 มีชื่อว่า วิหารกางเขนใบไม้ 318 00:22:47,200 --> 00:22:50,400 สร้างขึ้นราวปีค.ศ. 692 319 00:22:56,440 --> 00:23:01,320 ภายใน บนผนังด้านหลัง เราได้พบกับจิตรกรรมแกะสลักที่น่าสนใจ 320 00:23:03,920 --> 00:23:05,720 นักวิชาการเชื่อว่ามันเกี่ยวกับ 321 00:23:05,800 --> 00:23:08,960 ความลึกลับอันยิ่งใหญ่ของศาสนาของชาวมายา 322 00:23:09,560 --> 00:23:12,720 ปริศนาที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา หลังจากตายไปแล้ว 323 00:23:14,120 --> 00:23:18,120 เรากำลังยืนอยู่หน้าจิตรกรรมที่ไม่เหมือนใคร 324 00:23:18,640 --> 00:23:21,600 ที่ผมว่ามันตีความยากมากเลย 325 00:23:22,560 --> 00:23:25,040 บอกหน่อยครับว่าคุณคิดยังไง มันเกี่ยวกับอะไร 326 00:23:25,680 --> 00:23:28,840 เห็นชัดเลยครับว่ามันซับซ้อนมาก 327 00:23:28,920 --> 00:23:31,800 มีสัญลักษณ์ต่างๆ กระจายอยู่ทั่ว 328 00:23:32,840 --> 00:23:36,560 มีกางเขนใบไม้ เพราะมันมีใบไม้โผล่ออกมา 329 00:23:38,000 --> 00:23:40,360 เรายังมีร่างสองร่างขนาบข้าง 330 00:23:42,400 --> 00:23:45,880 ภาพจิตรกรรมแสดงให้เห็นราชาปากัล ที่ล่วงลับไปแล้วอยู่ทางขวา 331 00:23:45,960 --> 00:23:48,720 เขาคือผู้ก่อตั้งและผู้ปกครองดั้งเดิมของปาเลงเก 332 00:23:49,840 --> 00:23:52,560 เขาหลับตาและสวมเสื้อผ้าสำหรับพิธีศพ 333 00:23:54,160 --> 00:23:58,760 และทางซ้ายเชื่อกันว่าเป็นคาน บาห์ลาม ลูกชายและผู้สืบทอดของเขา 334 00:24:00,040 --> 00:24:02,000 นี่คือใบหน้าของคาน บาห์ลาม 335 00:24:02,080 --> 00:24:06,080 ภาพเหมือนของเขามีอยู่ทั่วเมือง เราเลยรู้ว่าเป็นเขาแน่นอน 336 00:24:06,160 --> 00:24:07,440 - ครับ - เราจำเขาได้ 337 00:24:08,160 --> 00:24:10,880 - คาน บาห์ลามรูปร่างสูงใหญ่ - ครับ 338 00:24:10,960 --> 00:24:12,800 ผมคิดถึงเขานะ 339 00:24:12,880 --> 00:24:16,160 เรารู้ประวัติชีวิตของเขา ที่น่าทึ่งและเต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญ 340 00:24:16,240 --> 00:24:21,080 เรารู้ว่าพ่อของเขาเป็นราชา ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองนี้ 341 00:24:21,680 --> 00:24:26,040 และเขาถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ตอนอายุหกขวบ 342 00:24:27,080 --> 00:24:29,160 แต่พ่อของเขาเสียชีวิตตอนอายุ 80 ปี 343 00:24:30,120 --> 00:24:34,840 ดังนั้นกว่าเขาจะได้เป็นราชา ก็คือตอนอายุ 48 ปี 344 00:24:36,080 --> 00:24:41,200 ผมคิดว่าเขาได้รับการฝึกฝนเข้มข้น ทั้งด้านคณิตศาสตร์ สถาปัตยกรรม 345 00:24:41,280 --> 00:24:45,520 ดาราศาสตร์ รวมถึงศาสนา และตำนานด้วย 346 00:24:45,600 --> 00:24:50,640 กลุ่มวิหารสามหลังที่น่าทึ่งนี้คือผลงานของเขา 347 00:24:50,720 --> 00:24:54,800 ชายคนนี้อาจใช้เวลาวางแผน สร้างที่นี่นาน 30 ปีเลย 348 00:24:55,480 --> 00:24:57,280 และในที่สุดเขาก็ได้สร้างมันขึ้นมา 349 00:24:57,360 --> 00:25:01,240 และมันคือความสำเร็จสูงสุด ของวิทยาศาสตร์มายา 350 00:25:02,000 --> 00:25:05,200 เพราะมันมีทั้งตัวเลขศาสตร์ คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ 351 00:25:07,040 --> 00:25:11,680 จิตรกรรมเป็นเรื่องราวคุณความดี และพิธีกรรมที่ลูกชายทำ 352 00:25:12,720 --> 00:25:15,000 ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากถ้าเขาอยากให้พ่อ 353 00:25:15,080 --> 00:25:17,680 เดินทางในโลกหลังความตายสำเร็จ 354 00:25:18,440 --> 00:25:22,480 สิ่งที่คั่นกลางระหว่างทั้งสอง คือสัญลักษณ์ที่มีความหมายสำคัญยิ่ง 355 00:25:23,400 --> 00:25:24,760 นี่คือต้นไม้แห่งโลกของเราครับ 356 00:25:24,840 --> 00:25:27,160 ตรงกลางของมัน คือใบหน้าของเทพแห่งดวงอาทิตย์ 357 00:25:27,680 --> 00:25:32,560 แต่ต้นไม้ก็เป็นเส้นทาง ระหว่างโลกนี้กับอีกโลกหนึ่งด้วย 358 00:25:33,160 --> 00:25:35,440 ในบางบริบท มันคือทางช้างเผือก 359 00:25:38,240 --> 00:25:42,240 ทางช้างเผือกมีบทบาท โดยเป็นเส้นทางของวิญญาณเหรอครับ 360 00:25:42,320 --> 00:25:43,960 เป็นการเดินทางหลังความตายเหรอ 361 00:25:44,040 --> 00:25:48,120 ครับ สิ่งที่สองคนนี้กำลังมีปฏิสัมพันธ์ด้วย 362 00:25:48,680 --> 00:25:51,600 - คือเส้นทางที่เชื่อมระหว่างโลกนี้กับโลกอื่น - ครับ 363 00:25:53,120 --> 00:25:56,600 ชาวมายามีความเชื่อที่แกร่งกล้ามาก เรื่องการกระโดดขึ้นสู่ท้องฟ้า 364 00:25:56,680 --> 00:26:01,400 ไปยังทางช้างเผือก และเดินทางหลังความตาย 365 00:26:03,800 --> 00:26:07,600 สิ่งที่น่าสังเกตคือความคิดนี้ก็แพร่หลายไปทั่ว 366 00:26:09,800 --> 00:26:13,560 การใช้ทางช้างเผือกเป็นเส้นทางของวิญญาณ 367 00:26:13,640 --> 00:26:16,360 พบได้ไม่เพียงแค่ในชาวมายา 368 00:26:16,440 --> 00:26:19,000 แต่ยังพบในหลายวัฒนธรรมในอเมริกาเหนือด้วย 369 00:26:19,080 --> 00:26:23,920 {\an8}ใช่เลยครับ มันเป็นหนึ่งในแนวคิด ที่แพร่กระจายไปทั่วทวีปอเมริกา 370 00:26:24,520 --> 00:26:25,520 {\an8}มันแพร่ไปทั่ว 371 00:26:25,600 --> 00:26:28,400 {\an8}ตั้งแต่ใต้สุดของชิลี ไปจนถึงอะแลสกา 372 00:26:29,360 --> 00:26:34,360 ความคิดดั้งเดิมก็คือทางช้างเผือก เป็นเส้นทางของวิญญาณ 373 00:26:34,440 --> 00:26:36,560 เพื่อเดินทางจากโลกนี้ไปยังอีกโลก 374 00:26:36,640 --> 00:26:40,760 คนตายเดินบนเส้นทางนี้ และอำนาจที่หมอผีมี 375 00:26:40,840 --> 00:26:42,680 ก็ทำให้พวกเขาเดินบนเส้นทางนี้ได้ 376 00:26:43,600 --> 00:26:47,560 แต่มันน่าทึ่งมากที่แนวคิดเรื่องทางช้างเผือกนี้ 377 00:26:47,640 --> 00:26:50,760 ปรากฏอยู่ในทุกวัฒนธรรมที่เราหาข้อมูลได้ 378 00:26:51,320 --> 00:26:52,680 {\an8}(ภูมิภาคอาเกร บราซิล) 379 00:26:52,760 --> 00:26:58,440 {\an8}มันทำให้ผมนึกถึงที่ชาวอาปารินาในบราซิล มองจีโอกลิฟในแอมะซอน 380 00:26:58,520 --> 00:27:01,480 ว่าเป็นประตูสู่โลกหลังความตาย 381 00:27:01,560 --> 00:27:04,440 ในแอมะซอน แนวคิดนี้ก็ยังมีให้เห็นชัดเจน 382 00:27:05,000 --> 00:27:07,400 ที่โลกของมายา ก็ยังมีให้เห็นชัดเจนด้วย 383 00:27:07,480 --> 00:27:11,640 มันเหมือนกับมีบรรพบุรุษในอดีตไกลโพ้น เป็นผู้ให้กำเนิดแนวคิดนี้ 384 00:27:12,360 --> 00:27:13,200 ผมเชื่อแบบนั้นนะ 385 00:27:15,120 --> 00:27:20,800 ผมคิดว่าหลักของแนวคิดพวกนี้ เกิดจากกลุ่มคนกลุ่มแรก 386 00:27:20,880 --> 00:27:23,360 เราเลยพบแนวคิดพวกนี้ ในวัฒนธรรมมากมายสินะครับ 387 00:27:23,440 --> 00:27:26,320 แม้ว่าวัฒนธรรมเหล่านั้น เช่นในทางใต้ของชิลี 388 00:27:26,400 --> 00:27:29,680 และทางเหนือสุดของอเมริกาเหนือ ที่ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันเลย 389 00:27:29,760 --> 00:27:33,080 แต่พวกเขาก็แสดงออกถึงแนวคิดนี้ เพราะมันคือมรดกที่พวกเขาได้รับมา 390 00:27:33,160 --> 00:27:35,760 แน่นอนครับ และผมคิดว่า มีมากกว่าเรื่องทางช้างเผือกด้วย 391 00:27:35,840 --> 00:27:39,200 ผมคิดว่ายังมีแนวคิดสำคัญอื่นๆ อีกมากมาย 392 00:27:39,280 --> 00:27:42,320 แนวคิดหนึ่งที่ชาวมายารักมากๆ ก็คือ 393 00:27:42,400 --> 00:27:46,040 แนวคิดเรื่องหมอผี เรื่องการเปลี่ยนแปลง 394 00:27:46,120 --> 00:27:47,080 ครับ 395 00:27:53,680 --> 00:27:57,720 วัฒนธรรมมายาเป็นวัฒนธรรม ที่เกี่ยวข้องกับหมอผีอย่างไม่ต้องสงสัย 396 00:27:59,120 --> 00:28:03,480 ผมคิดว่าแนวคิดเรื่องการเดินทาง ของวิญญาณหลังความตาย 397 00:28:04,240 --> 00:28:07,240 มาจากความเชื่อเรื่องหมอผีครับ 398 00:28:14,640 --> 00:28:17,880 เป็นความบังเอิญหรือเปล่า ที่วัฒนธรรมพื้นเมืองอื่นๆ 399 00:28:17,960 --> 00:28:18,960 ในทวีปอเมริกา 400 00:28:19,040 --> 00:28:22,520 และวัฒนธรรมโบราณหลายแห่งทั่วโลก 401 00:28:22,600 --> 00:28:26,840 ก็มีแนวคิดเรื่องวิญญาณเดินทางหลังความตาย ที่แทบจะเหมือนกันเลย 402 00:28:27,320 --> 00:28:30,880 หรือว่าเรากำลังเจอการเชื่อมโยง ที่ลึกซึ้งบางอย่าง 403 00:28:31,520 --> 00:28:34,520 ที่เป็นระบบความเชื่อที่ทรงพลังและแทรกซึมไปทั่ว 404 00:28:34,600 --> 00:28:38,080 ที่ถูกถ่ายทอดมาจากอารยธรรม ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สูญหายไป 405 00:28:38,160 --> 00:28:41,040 ที่ส่งอิทธิพลต่ออารยธรรมอื่นๆ ภายหลัง 406 00:28:51,960 --> 00:28:54,760 งานที่คุณเล่ามามันน่าตื่นเต้นมากครับ 407 00:28:54,840 --> 00:29:01,400 {\an8}เมื่อเราเห็นตัวอย่างทางโบราณคดี เกี่ยวกับความรู้เรื่องท้องฟ้าและดวงดาว 408 00:29:01,480 --> 00:29:05,440 พอมองย้อนกลับไป ผมว่ามันเก่าแก่กว่าที่เราคิดนะ 409 00:29:05,520 --> 00:29:06,640 ครับ 410 00:29:06,720 --> 00:29:11,160 และคุณเชื่อมโยงแนวคิดนี้กับมุมมองเรื่องหมอผี 411 00:29:11,240 --> 00:29:12,600 ครับ ใช่เลย 412 00:29:12,680 --> 00:29:15,480 วัฒนธรรมหมอผีทุกแห่ง ให้ความสนใจดวงดาวมาก 413 00:29:16,720 --> 00:29:20,360 พอถึงจุดหนึ่ง ความสนใจในดวงดาวนี้ อาจกลายเป็นศาสนาได้ 414 00:29:21,000 --> 00:29:24,360 ช่วยขยายความให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ 415 00:29:24,440 --> 00:29:27,400 ความเชื่อเรื่องหมอผีเป็นระบบที่ใช้ สำรวจความลึกลับของความตาย 416 00:29:29,320 --> 00:29:31,000 จะเกิดอะไรขึ้นกับเราเมื่อเราตาย 417 00:29:31,520 --> 00:29:36,200 แนวคิดที่ว่าวิญญาณจะออกจากร่าง แล้วกระโดดขึ้นสู่ท้องฟ้า 418 00:29:36,840 --> 00:29:39,720 มันเป็นเรื่องการเดินทาง ของวิญญาณหลังความตาย 419 00:29:40,440 --> 00:29:44,480 ดูเหมือนว่าในชีวิตและการเดินทางของเรา 420 00:29:44,560 --> 00:29:47,560 พอเราโตขึ้น มันจะมีความจริงเรื่องความตายแฝงอยู่ 421 00:29:48,680 --> 00:29:50,040 ความจริงที่ว่าความตายคือจุดจบ 422 00:29:50,880 --> 00:29:52,720 ครับ มันคือสาระสำคัญของทุกสรรพสิ่ง 423 00:29:52,800 --> 00:29:57,520 มันเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างเศร้าที่จะพูดถึง แต่ก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทุกคน 424 00:29:57,600 --> 00:29:59,320 เราทุกคนต้องเผชิญกับช่วงเวลานั้น 425 00:29:59,920 --> 00:30:04,880 มันมักถูกอธิบายว่า เป็นแรงผลักดันในการกระทำของเรา 426 00:30:04,960 --> 00:30:06,360 ครับ 427 00:30:06,440 --> 00:30:10,760 ผมกำลังจะตาย ผมเลยต้องออกไปทำบางอย่าง 428 00:30:10,840 --> 00:30:15,600 ครับ และนั่นตรงกับคำสอนของหมอผีที่ว่า 429 00:30:16,400 --> 00:30:20,280 เมื่อเกิดมาแล้ว เราก็ควรใช้ชีวิตให้มีประโยชน์ที่สุด 430 00:30:20,360 --> 00:30:24,360 ครับ ผมว่านั่นคือความท้าทายของพวกเราเลย 431 00:30:25,080 --> 00:30:27,880 เพราะแนวคิดนี้พบได้ทั่วโลก 432 00:30:28,400 --> 00:30:31,080 โดยเฉพาะการกระโดดขึ้นสู่ทางช้างเผือก 433 00:30:31,160 --> 00:30:33,600 ผมว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่แนวคิดนี้กระจายอยู่ทั่ว 434 00:30:33,680 --> 00:30:37,720 ผมคิดว่ามันถูกส่งต่อมาจากวัฒนธรรมที่เก่าแก่กว่า 435 00:30:37,800 --> 00:30:38,640 ครับ 436 00:30:42,440 --> 00:30:44,320 แต่มันถูกส่งต่อมาเมื่อไร 437 00:30:45,400 --> 00:30:49,440 เราย้อนรอยต้นกำเนิด ประเพณีหมอผีได้ไกลแค่ไหน 438 00:30:50,480 --> 00:30:53,080 ถ้าใช้วิธีวัดและติดตามวัตถุบนท้องฟ้า 439 00:30:53,840 --> 00:30:57,560 คำตอบอาจอยู่ในสถานที่แรกๆ ที่ผมไปเยือน 440 00:30:57,640 --> 00:31:00,160 ระหว่างที่ผมออกสำรวจทวีปอเมริกา 441 00:31:00,240 --> 00:31:05,200 ลึกเข้าไปในป่าดงดิบแอมะซอน ที่โบราณสถานเซร์รา โด ไพทูน่า 442 00:31:05,280 --> 00:31:10,360 (เซร์รา โด ไพทูน่า) 443 00:31:17,360 --> 00:31:21,320 หินถูกใช้เป็นผ้าใบเพื่อทำศิลปะอันน่าทึ่ง 444 00:31:21,400 --> 00:31:25,120 และศิลปะที่นี่เองที่ต้องถูกถอดรหัส 445 00:31:25,200 --> 00:31:26,800 ต้องถูกทำความเข้าใจให้มากขึ้น 446 00:31:30,520 --> 00:31:32,320 ในความพยายามที่จะตีความมัน 447 00:31:32,400 --> 00:31:35,840 {\an8}ดร.คริสโตเฟอร์ เดวิส นักโบราณคดีสนใจ 448 00:31:35,920 --> 00:31:38,960 ภาพตารางโดดเด่นที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์นี้ 449 00:31:42,480 --> 00:31:46,200 เล่าให้ผมฟังหน่อยครับว่าเรากำลังดูอะไรอยู่ 450 00:31:46,280 --> 00:31:49,280 คุณคิดยังไง วิเคราะห์ได้ว่ายังไงครับ 451 00:31:49,360 --> 00:31:53,080 มันเป็นภาพวาดเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดที่นี่เลยครับ 452 00:31:53,160 --> 00:31:54,960 - มีช่องทั้งหมด 49 ช่อง - ครับ 453 00:31:55,040 --> 00:31:58,000 อุปสรรคแรกๆ ก็คือพยายามคิดให้ออก 454 00:31:58,080 --> 00:31:59,640 ว่าเราควรตีความเจ้านี้ 455 00:31:59,720 --> 00:32:01,920 จากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้ายดี 456 00:32:03,000 --> 00:32:05,640 ดูเหมือนว่าจิตรกรโบราณจะทิ้งเบาะแสไว้ 457 00:32:07,120 --> 00:32:09,480 ตรงนี้คุณจะเห็นรูปงูอยู่ 458 00:32:09,560 --> 00:32:12,560 น่าทึ่งมากเลย มีรูปงูอยู่ตรงนั้นด้วย 459 00:32:12,640 --> 00:32:14,080 ตรงนี้ครับ เป็นสีเหลือง 460 00:32:14,880 --> 00:32:17,920 เกือบเหมือนกับว่าการมีงูตรงนั้น บอกให้เรารู้ว่าควรอ่านยังไงเลย 461 00:32:18,000 --> 00:32:21,160 ใช่เลยครับ รูปแบบที่ผมนึกถึงก็คือ 462 00:32:21,240 --> 00:32:23,800 ตอนอ่านตารางนี้ 463 00:32:23,880 --> 00:32:26,600 เราต้องใช้การอ่านแบบซินุสอิดัล นั่นคือเริ่มจากด้านล่าง 464 00:32:28,840 --> 00:32:32,600 ในการอ่านแบบซินุสอิดัล เราจะอ่านคอลัมน์แรกไล่ขึ้นไป 465 00:32:32,680 --> 00:32:34,200 และไล่ลงมาในคอลัมน์ถัดไป 466 00:32:34,280 --> 00:32:36,560 แล้วไล่ขึ้นอีก คดเคี้ยวเหมือนงู 467 00:32:37,880 --> 00:32:39,160 แต่เพื่ออะไรกัน 468 00:32:40,960 --> 00:32:42,400 เมื่อมองไปทางทิศตะวันตก 469 00:32:42,480 --> 00:32:46,400 ดร.เดวิสสังเกตเห็นช่องธรรมชาติ บนเสาหินที่อยู่แถวนี้ 470 00:32:48,160 --> 00:32:51,880 ถ้าคุณมายืนตรงหน้ามัน ด้านหลังขวาของคุณ 471 00:32:51,960 --> 00:32:57,160 มันจะมีช่องหินที่ดวงอาทิตย์จะผ่านตรงนี้และตก 472 00:32:57,240 --> 00:32:59,560 มันก็จะตัดกับช่องหินนั้นเลย 473 00:32:59,640 --> 00:33:03,720 ผมเลยเชื่อว่าพวกเขาอาจกำลังนับ การเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ 474 00:33:06,000 --> 00:33:10,000 ดร.เดวิสเรียกรูปวาดนี้ว่า ตารางบันทึกการตกของพระอาทิตย์ 475 00:33:10,680 --> 00:33:14,200 เป็นวิธีอันชาญฉลาดในการบันทึก การเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ 476 00:33:15,240 --> 00:33:20,720 ที่ถูกสร้างขึ้นกว่า 13,000 ปีก่อน ในยุคน้ำแข็งสุดท้าย 477 00:33:20,800 --> 00:33:21,840 (ราว 13,200 ปีก่อน) 478 00:33:21,920 --> 00:33:23,280 แต่ว่ามันทำงานยังไง 479 00:33:24,560 --> 00:33:27,400 ผมเห็นว่ามีเครื่องหมายกากบาท แล้วก็เห็นเส้นเดี่ยวๆ ด้วย 480 00:33:28,000 --> 00:33:31,440 กากบาทพวกนี้ พวกมันมีความหมายเหมือนกัน 481 00:33:31,520 --> 00:33:35,840 และถ้าคุณอ่านขึ้นและลงตามแนวนี้ 482 00:33:36,720 --> 00:33:39,280 ในที่สุดคุณจะไปถึงเส้นเดี่ยวพวกนี้ 483 00:33:39,360 --> 00:33:43,720 เส้นแนวตั้งเดี่ยวๆ ที่อยู่ต่อกัน พออ่านต่อไปก็จะกลับไปเป็นกากบาท 484 00:33:43,800 --> 00:33:46,960 ไอ้เส้นแนวตั้งเดี่ยวๆ พวกนี้ในตาราง 485 00:33:47,040 --> 00:33:49,960 ผมคิดว่าเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์ตกตรงช่องหินนั้น 486 00:33:50,040 --> 00:33:53,280 และช่วงเวลานั้นก็น่าจะตรงกับช่วงเหมายันครับ 487 00:33:53,360 --> 00:33:56,200 คุณฉลาดมากที่ตีความออก สุดยอดเลยครับ 488 00:34:02,640 --> 00:34:04,200 มันไม่ใช่แค่ตาราง 489 00:34:06,280 --> 00:34:10,840 ดร.เดวิสเชื่อว่างานศิลปะยุคก่อนประวัติศาสตร์ เกือบทุกจุดที่นี่ เป็นการตามดูดวงอาทิตย์ 490 00:34:11,920 --> 00:34:14,560 มีวงกลมซ้อนกันและภาพอื่นๆ เยอะมาก 491 00:34:14,640 --> 00:34:16,840 ที่ดูเหมือนเป็นดวงอาทิตย์ 492 00:34:16,920 --> 00:34:20,280 และพวกมันชี้ไปช่วงเหมายันโดยเฉพาะ 493 00:34:20,360 --> 00:34:23,000 และครอบคลุมไปจนถึงช่วงครีษมายัน 494 00:34:24,040 --> 00:34:27,560 พบงานศิลปะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิษุวัต 495 00:34:28,480 --> 00:34:32,280 เป็นอีกครั้ง ภาพวาดเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าพวกเขา 496 00:34:32,360 --> 00:34:34,280 หลงใหลช่วงเวลาสำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในปีสุริยคติ 497 00:34:34,360 --> 00:34:35,520 ใช่เลยครับ 498 00:34:37,480 --> 00:34:41,720 สิ่งที่เรามีตรงนี้อาจเป็นหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุด 499 00:34:41,800 --> 00:34:43,480 ที่เคยพบในทวีปอเมริกาเลย 500 00:34:43,560 --> 00:34:46,240 มันแสดงให้เห็นว่ามนุษย์คอยดูเหตุการณ์บนท้องฟ้า 501 00:34:48,720 --> 00:34:52,080 งั้นในแง่หนึ่ง ทั้งหมดนี้ก็เป็นเหมือนกลไกขนาดใหญ่ 502 00:34:52,160 --> 00:34:54,480 ที่เอาไว้ติดตามกาลเวลาเหรอครับ 503 00:34:55,000 --> 00:34:57,160 ผมเชื่อแบบนั้นครับ ผมเชื่อว่ามันเหมือนเป็นปฏิทิน 504 00:34:57,240 --> 00:34:58,760 ที่ถูกเขียนไว้ในรูปแบบภาพวาด 505 00:35:01,120 --> 00:35:07,480 สิ่งนี้สะท้อนถึงกรอบความคิด ทางวิทยาศาสตร์ของตัวคนวาด 506 00:35:07,560 --> 00:35:10,000 ราวกับว่าพวกเขากำลังสังเกตเหตุการณ์ 507 00:35:10,080 --> 00:35:11,320 และช่วงเวลาพิเศษบนท้องฟ้า 508 00:35:13,800 --> 00:35:16,920 และพยายามเข้าใจวิทยาศาสตร์ของเวลา 509 00:35:17,960 --> 00:35:20,960 ทำให้พวกเขามีความสามารถ ในการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น 510 00:35:21,040 --> 00:35:22,960 ในวันที่เฉพาะเจาะจงในอนาคต 511 00:35:25,120 --> 00:35:27,440 งั้นนี่ก็เป็นโครงการวิทยาศาสตร์ ของพวกเขาเหรอครับ 512 00:35:27,520 --> 00:35:28,840 ครับ ใช่เลย 513 00:35:28,920 --> 00:35:32,080 สำหรับผม รูปศิลปะนี้เห็นแล้วนึกถึงหมอผีเลย 514 00:35:32,160 --> 00:35:33,920 แต่นั่นก็แค่ความคิดส่วนตัวของผมนะ 515 00:35:34,000 --> 00:35:35,880 คุณคิดว่าหมอผีคือคนมาวาดรูปที่นี่ไหม 516 00:35:35,960 --> 00:35:37,240 ก็เป็นไปได้ครับ 517 00:35:37,320 --> 00:35:41,760 พวกเขาทำงานหลอกหลายมาก เป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์ แพทย์และอื่นๆ 518 00:35:42,480 --> 00:35:47,040 พวกเขามักจะมีความรู้ศักดิ์สิทธิ์ อย่างการเคลื่อนที่ของดวงดาว 519 00:35:48,080 --> 00:35:51,440 คุณว่าแนวคิดนี้แพร่ไปทั่วอเมริกาไหมครับ 520 00:35:52,040 --> 00:35:56,160 ครับ การเอาความรู้ดาราศาสตร์มาใช้แบบนี้ พบได้ทั่วที่นี่เลยครับ 521 00:35:56,240 --> 00:36:02,240 ชาวมายากับวัฒนธรรมอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะใช้ความรู้นี้ด้วย 522 00:36:03,840 --> 00:36:07,120 ในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา ก็มีหัวหน้าเผ่าที่เป็นผู้เฝ้าดูดวงอาทิตย์ 523 00:36:08,080 --> 00:36:11,800 ดังนั้นตำนานทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะย้อนไป ยังช่วงเวลาอันไกลโพ้นในอดีต 524 00:36:12,760 --> 00:36:17,440 ที่ความเข้าใจลึกซึ้งบางอย่าง ได้แพร่กระจายไปทั่วทวีปอเมริกา 525 00:36:20,040 --> 00:36:25,000 ความหลงใหลในท้องฟ้านี้ เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ หัวข้อ 526 00:36:25,600 --> 00:36:30,040 ที่ผมพบซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั่วทวีปอเมริกา 527 00:36:33,800 --> 00:36:37,400 แนวคิดเหล่านี้มีบทบาทสำคัญ ในภารกิจตลอด 30 ปีของผม 528 00:36:37,480 --> 00:36:40,160 ในการค้นหาช่วงเวลาที่ถูกลืมเลือน ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ 529 00:36:45,720 --> 00:36:47,600 คำถามก็คือแนวคิดเหล่านี้มาจากไหน 530 00:36:48,400 --> 00:36:53,640 สำหรับผม พวกนี้คือสิ่งบ่งชี้ ถึงแหล่งต้นกำเนิดอันไกลโพ้น 531 00:36:53,720 --> 00:36:57,880 ที่ว่าแนวคิดเหล่านี้ ถูกกรองผ่านวัฒนธรรมมนุษย์มากมาย 532 00:36:57,960 --> 00:37:00,640 แต่หลักสำคัญแนวคิดยังคงเหมือนเดิม 533 00:37:02,360 --> 00:37:06,160 หากนี่ไม่ใช่ความบังเอิญที่น่าอัศจรรย์เหลือเชื่อ 534 00:37:06,680 --> 00:37:10,920 เราก็กำลังมองดูมรดกตกทอด ที่ถูกส่งต่อมาจากยุคโบราณอันไกลโพ้น 535 00:37:11,000 --> 00:37:13,480 และถูกเก็บรักษา ถ่ายทอด และพัฒนา 536 00:37:13,560 --> 00:37:16,800 โดยวัฒนธรรมมากมายทั่วทวีปอเมริกา 537 00:37:20,120 --> 00:37:23,400 อาจเป็นมรดกตกทอดจากเหล่าคนเดินเรือ 538 00:37:23,480 --> 00:37:26,480 ที่สามารถข้ามมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ อย่างมหาสมุทรแปซิฟิก 539 00:37:27,440 --> 00:37:31,040 หลายพันปีก่อนที่นักวิชาการจะยอมรับว่า การเดินทางเช่นนั้นเป็นไปได้ 540 00:37:32,360 --> 00:37:35,520 วัฒนธรรมที่เข้าใจการเอาพลังของพืชมาใช้ 541 00:37:36,040 --> 00:37:38,040 เพื่อสร้างนิมิตที่ช่วยเสริมสร้างความคิด 542 00:37:39,760 --> 00:37:43,560 จนได้เป็นลวดลายเรขาคณิต และสิ่งมีชีวิตในจินตนาการ 543 00:37:44,280 --> 00:37:48,760 นิมิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด จนกลายมาเป็นพื้นฐานศิลปะของพวกเขา 544 00:37:50,320 --> 00:37:52,400 และวัฒนธรรมที่แบ่งปันความรู้ 545 00:37:52,480 --> 00:37:56,160 เรื่องการสร้างสิ่งก่อสร้าง ที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 546 00:37:56,240 --> 00:37:58,120 ไม่ว่าจะเป็นการสร้างจากหิน 547 00:37:58,200 --> 00:38:00,200 หรือสร้างจากวัสดุทางธรรมชาติ 548 00:38:01,360 --> 00:38:05,960 สิ่งก่อสร้างที่มีความหมายทางจิตวิญญาณ ออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยงพื้นดินกับท้องฟ้า 549 00:38:06,640 --> 00:38:09,240 เฉลิมฉลองการเดินทางของวิญญาณ ไปสู่โลกหลังความตาย 550 00:38:10,440 --> 00:38:14,880 เอาจริงๆ ผมอยากพูดว่าแนวคิดทางศาสนา และจิตวิญญาณที่มีร่วมกัน 551 00:38:14,960 --> 00:38:16,800 ที่พบได้ทั่วโลกพวกนี้ 552 00:38:16,880 --> 00:38:21,200 เป็นหนึ่งในหลักฐานที่ดีที่สุดที่แสดงถึงอารยธรรม ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สูญหายไป 553 00:38:23,840 --> 00:38:25,640 ที่เราจะหาเจอได้ 554 00:38:26,200 --> 00:38:30,200 พระเจ้า เรากำลังแก้ไข ความเข้าใจผิดตั้งแต่วัยเด็ก 555 00:38:30,280 --> 00:38:33,800 เกี่ยวกับเรื่องราวของโลกนี้ 556 00:38:33,880 --> 00:38:36,760 เรื่องราวของการตั้งถิ่นฐาน ในทวีปอเมริกากำลังเปลี่ยนไป 557 00:38:36,840 --> 00:38:38,680 ผมต้องยกความดีความชอบให้วิทยาศาสตร์ 558 00:38:38,760 --> 00:38:43,000 โบราณคดีเชิงวิทยาศาสตร์ กำลังเปิดเผยข้อมูลใหม่ๆ นี้ 559 00:38:45,000 --> 00:38:48,560 สิ่งที่ผมจะบอกก็คือแนวคิดเก่ากำลังถูกโละทิ้ง 560 00:38:49,280 --> 00:38:52,240 เพราะเห็นชัดว่าสิ่งต่างๆ มีความเก่าแก่ลงเรื่อยๆ 561 00:38:53,600 --> 00:38:56,520 หลักฐานใหม่ๆ อะไรที่จะถูกเปิดเผยต่อไปกัน 562 00:39:31,880 --> 00:39:33,960 {\an8}คำบรรยายโดย มนัสวี ศักดิษฐานนท์